นางแววตา กุลโชตธาดา รองผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี บมจ.ที เอส ฟลาวมิลล์ (TMILL) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/65 บริษัทมีกำไรสุทธิ 34.16 ล้านบาท ลดลง 0.28 ล้านบาท คิดเป็น 0.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 34.43 ล้านบาท สาเหตุมาจากต้นทุนของข้าวสาลีสูงขึ้นกว่าไตรมาส 2/64 ถึง 50.3% ซึ่งเป็นสัดส่วนต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าราคาจำหน่ายแป้งสาลี ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลง 7.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีรายได้จากการจำหน่าย 472.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.2% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนทำได้ 374.11 ล้านบาท โดยรายได้จากการจำหน่ายแปังสาลีเพิ่มขึ้น 26.3% ส่วนรายได้จากการจำหน่ายรำข้าวสาลีลดลง 0.1% ถึงแม้ปริมาณจำหน่ายแป้งสาลีและรำข้าวสาลีลดลง 6.3%และ 12.8% แต่ราคาจำหน่ายแป้งสาสีและรำข้าวสาลีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 40.3%และ 14.1% ตามลำดับ
ด้านการใช้อัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 69.77% ลดลง 5.15% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 74.92% ซึ่งเป็นการลดปริมาณการจำหน่ายลงตามแผนปรับกลยุทธ์ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ราคาข้าวสาลีปรับสูงขึ้น
สำหรับงวด 6 เดือนปี 65 บริษัทมีกำไรสุทธิ 51.94 ล้านบาท ลดลง 29.35 ล้านบาท คิดเป็น 36.1% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีผลกำไรสุทธิ 81.28 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลง 8.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากต้นทุนของข้าวสาลีที่ใช้ในปีนี้ปรับสูงขึ้นถึง 52.4%
รายได้จากการจำหน่ายอยู่ที่ระดับ 926.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.3% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดี่ยวกันของปืก่อนทำได้ 763.82 ล้านบาท โดยรายได้จากการจำหน่ายแป้งสาลีเพิ่มขึ้น 21.0% และรายได้จากการจำหน่ายรำข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 0.3% ทั้งนี้ มาจากราคาจำหน่ายแป้งสาสีและรำข้าวสาลีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 39.4% และ 14.1% ตามลำดับ ถึงแม้ว่าปริมาณจำหน่ายแป้งสาลีและรำข้าวสาลี่จะลดลง 10.3% ก็ตาม และมีการใช้อัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 69.51% ลดลง 7.79% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 77.30%
นางแววตา กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ตลาดข้าวสาลีในครึ่งปีแรกของปี 65 ราคาปรับสูงขึ้นมากกว่า 50% โดยปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 64 และสูงมากขึ้นอีกตั้งแต่มีข่าวการทำสงครามระหว่างรัสเชียกับยูเครน จึงทำให้มีการปรับราคาจำหน่ายแป้งสาลีขึ้น อย่างไรก็ตาม เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่อลูกค้าและผู้บริโภคปลายทางไม่ให้รุนแรงมากจนเกินไปบริษัทจึงได้แบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นบางส่วนไว้ ส่งผลต่ออัตตรากำไรขั้นต้นให้ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน
ปี 65 ถือเป็นปีที่ท้าทายความสามารถของฝ่ายบริหารอย่างมาก แต่ไม่ว่าจะต้องพบกับสถานการณ์อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงตั้งมั่นอย่างไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาผลงาน และสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุด พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ก็ยังมีการปรับกลยุทธ์ทั้งด้านการผลิตและการจัดจำหน่าย เพื่อให้ยังคงความสามารถในการทำกำไรให้ได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี 65