นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 65 บริษัทยังคงเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง โดยจะมาจากรายได้หลักคือ ธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลที่ตลาดยังเติบโตได้ทั้งจากการขยายตัวของความต้องการไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งการขยายตัวของ Renewable Energy (RE)
ปัจจุบัน บริษัทยังมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่กว่า 1 หมื่นล้านบาท และมีงานที่กำลังอยู่ระหว่างการประมูลติดตามอยู่อีกมากทั้งในไทย เวียดนาม และประเทศอื่น ๆ
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนการเข้าลงทุนซื้อกิจการ LEONI Kabel GmbH และ LEONIsche Holding Inc ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ LEONI ผู้ผลิตสายเคเบิ้ลสำหรับยานยนต์ (Automotive cable) และสายไฟสำหรับ EV charging solutions เบอร์ 1 ของโลก ในสัดส่วน 100% ซึ่งหากธุรกรรมดังกล่าวแล้วเสร็จ เป็นการต่อยอดและขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ EV และ Charging Solutions โดยจะไม่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงลักษณะและนโยบายการประกอบธุรกิจหลักของบริษัท
ทั้งนี้ บริษัทเลื่อนการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2565 จากเดิมวันที่ 12 ต.ค.65 เป็นวันที่ 23 ก.ย.65 เพื่อให้ผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการซื้อหุ้นใน LEONI Kabel GmbH และ LEONIsche Holding Inc และเพิ่มทุนจดทะเบียน 1,500 ล้านบาท จากเดิม 15,875,206,607 บาท เป็น 17,375,206,607 บาท ด้วยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 1,500 ล้านหุ้น เพื่อจัดสรรเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการเข้าประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 30 สิงหาคม นี้
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/65 บริษัทมีรายได้หลัก 7,332 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.6% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้หลัก 5,252 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 689 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 528 ล้านบาท ขณะที่มีกำไร (ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่) 691 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.9% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีที่กำไร 524 ล้านบาท
ส่วนงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้หลัก 13,508 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้หลัก 9,908 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,270 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.1% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 969 ล้านบาท ขณะที่มีกำไร (ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่) 1,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 963 ล้านบาท
"ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากการรับรู้รายได้ จากโครงการภาครัฐและเอกชนที่ดำเนินการก่อสร้างอย่างต่อเนื่องตามแผนงานและกำหนดการ อีกทั้ง Product mix ที่ปรับตัวจากการมุ่งเน้นกลุ่มสินค้า High Margin โดยยอดขายเติบโตในทั้งประเทศไทย เวียดนามและ ตลาดต่างประเทศ (international markets)" นายประกรณ์ กล่าว