ทริส จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ของ ADVANC ที่ระดับ “AA/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 27, 2008 08:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลการจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาทของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “AA" พร้อมทั้งประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “AA" เช่นเดียวกัน ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" ทั้งนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนสถานะผู้นำของบริษัทในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทยจากการมีฐานลูกค้าที่กว้างขวางและชื่อเสียงที่เป็นที่ยอมรับ นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีความสามารถและเป็นมืออาชีพ ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่เข้มแข็ง อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวมีข้อจำกัดบางประการจากการแข่งขันที่ยังคงรุนแรงต่อเนื่องระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้ง 3 ราย รวมถึงความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และความไม่แน่นอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโทรคมนาคม
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลประกอบการที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้และจะยังคงดำเนินนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังต่อไป โดยบริษัทจะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดด้านรายได้เอาไว้ที่ประมาณ 50% ทั้งนี้ คาดว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านกฎระเบียบเกี่ยวกับธุรกิจโทรคมนาคมใดใดของภาครัฐจะไม่ส่งผลกระทบต่อความได้เปรียบในการแข่งขันและผลประกอบการของบริษัทอย่างรุนแรงแต่อย่างใด
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ในช่วงปี 2542-2547 จำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยขยายตัวอย่างรวดเร็วที่อัตราเฉลี่ย 60% ต่อปี อัตราการขยายตัวของผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หลังจากนั้นยังอยู่ในระดับสูง แต่ชะลอตัวลงมาที่ 12% ในปี 2548 และ 33% ในปี 2549 เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงในการแจกซิมการ์ด การตัดราคา และการขยายตลาดในพื้นที่ต่างจังหวัด ณ สิ้นปี 2550 อัตราการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ต่อจำนวนประชากรสูงกว่า 80% ของจำนวนประชากรทั้งหมดอยู่เล็กน้อย โดยจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่เติบโต 32% จากปี 2549 ในขณะที่รายได้รวมของอุตสาหกรรมซึ่งไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) เพิ่มขึ้นเพียง 4% เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงและอัตราการใช้โทรศัพท์ที่ต่ำของผู้ใช้รายใหม่ ทั้งนี้ความไม่แน่นอนทางด้านกฎระเบียบ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ตัดสินว่าการแก้ไขสัญญาสัมปทานไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่ครบถ้วนตามกฎหมาย และข้อโต้แย้งในเรื่องของการจ่ายค่า IC ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่กระทบต่อสถานะอันดับเครดิตของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส ยังคงเป็นผู้นำในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทยด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณครึ่งหนึ่งทั้งในด้านจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์และรายได้รวมของอุตสาหกรรม โดย ณ สิ้นปี 2550 บริษัทมียอดผู้ใช้บริการ 24.1 ล้านเลขหมาย เพิ่มขึ้น 23% จากปี 2549 และมีรายได้รวม 108,454 ล้านบาทซึ่งรวมค่า IC จำนวน 16,530 ล้านบาท ด้วยประสบการณ์และความสามารถของผู้บริหาร ตลอดจนการมีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอทำให้บริษัทสามารถให้บริการที่มีคุณภาพสูงแก่ลูกค้าด้วยการลงทุนขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และระบบจัดการภายใน บริษัทจะยังคงได้รับประโยชน์จากตราสัญลักษณ์ที่แข็งแกร่ง เครือข่ายที่ครอบคลุมและมีคุณภาพสูง รวมทั้งระบบการตลาดที่มีประสิทธิภาพ และด้วยความเป็นผู้นำตลาด รวมทั้งการมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและสภาพคล่องที่พร้อมสำหรับการลงทุนใหม่ๆ จึงคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจต่อไปได้
ผู้บริหารของบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการแก้ปัญหาทั้งในเรื่องของภาวะการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไปและการพัฒนาทางเทคโนโลยี อีกทั้งบริษัทยังประสบความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาวอีกด้วย และเนื่องจากอัตราการขยายตัวของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทยใกล้ถึงจุดอิ่มตัว บริษัทจึงมีการวางแผนเพื่อเพิ่มรายได้และกำไรโดยจะขยายสัดส่วนรายได้จากบริการเสริมแบบข้อมูล (Non-voice Services) ให้มากขึ้น บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเนื่องจากการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังและความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่เข้มแข็ง โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอยู่ระหว่าง 24%-30% การได้รับประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด (Economy of Scale) และความสำเร็จจากกลยุทธ์การควบคุมค่าใช้จ่ายทำให้บริษัทสามารถคงอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (ไม่รวมค่า IC) ให้อยู่ในระดับที่สูงกว่า 45% ได้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าภาวะการแข่งขันที่รุนแรงอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรและกระแสเงินสดของบริษัท แต่ทริสเรทติ้งเห็นว่าฐานะทางการเงินที่ดีจะช่วยรองรับแผนการลงทุนโครงข่ายของบริษัทได้อย่างเพียงพอ
บริษัทวางแผนในการใช้เงินประมาณ 750 ล้านบาทจากการออกหุ้นกู้ครั้งใหม่นี้ไปใช้ชำระเงินต้นหุ้นกู้ที่จะทยอยครบกำหนดไถ่ถอนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และส่วนที่เหลือจะใช้ทดแทนเงินกู้ยืมระยะสั้นที่บริษัทชำระคืนไปเมื่อต้นปี 2551 ดังนั้นหนี้สินรวมของบริษัทจึงคาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญภายหลังจากบริษัทออกหุ้นกู้ชุดใหม่ดังกล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ