นายณัฐพล นพรัตน์วงศ์ ผู้จัดการฝ่ายวางแผนการพาณิชย์ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยว่า บริษัทคาดกำไรขั้นต้นเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์ (GIM) และค่าการกลั่น (GRM) ในครึ่งปีหลังนี้จะกลับมาสู่ภาวะปกติ หลังไตรมาส 2/65 GRM ทำระดับสูงเป็นประวัติการณ์จากปัจจัยหนุนหลัก คือความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน
ทั้งนี้ GRM ที่ย่อตัวลงจากจุดสูงสุดนั้น เป็นการย่อตัวลงในทุกผลิตภัณฑ์ ทั้ง Gasoline, Jet และดีเซล แต่อย่างไรก็ตามคาดอัตรากำไรของโรงกลั่นจะยังสามารถยืนเหนือระดับก่อนเกิดโควิด-19 จากอุปทานตึงตัวและสินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับต่ำ
อีกทั้งบริษัทได้มีการทำประกันความเสี่ยง โดย mark to market ไปในช่วงปลายไตรมาส 2/65 ซึ่งเป็นระดับราคาที่ค่อนข้างสูง ขณะที่ปัจจุบันสเปรดก็ปรับตัวลงมาใกล้เคียงก่อนเกิดโควิด-19 ส่งผลให้ตัวที่ได้ mark to market ไปมีโอกาสกลับมาเป็นบวกมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้
ขณะที่ Aromatics, Olefins และ Lube Base ครึ่งปีหลัง คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/65 ตามความต้องการของตลาดที่ฟื้นตัว
สำหรับตลาดน้ำมันดิบ (Crude Oil) ในครึ่งปีหลัง มองในด้านความต้องการ (ดีมานด์) น่าจะปรับตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก เห็นได้จากดีมานด์รายไตรมาสเดือนส.ค.นี้ย่อตัวลงจากเดือนเม.ย.ราว 5 แสนบาร์เรล/วัน เป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว จากความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครนที่ทำให้ราคาสินค้าต่างๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อเงินเฟ้อแต่ละประเทศทำสถิติสูงสุด และธนาคารกลางแต่ละประเทศก็ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่จีน ยังคงนโยบาย Zero Covid มีการปิดเปิดเมืองเป็นระยะ และช่วงที่ปิดประเทศกระทบกับการจับจ่ายใช้สอย และการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรม
แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าดีมานด์น้ำมันจะยังได้รับปัจจัยหนุนจากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในช่วงปลายปีนี้ที่คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นมาราว 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน
ส่วนกำลังการผลิต (ซัพพลาย) น้ำมันดิบในไตรมาส 3/65 ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลงมา แต่ในช่วงสิ้นปีนี้การปล่อยน้ำมันดิบทางยุทธศาสตร์ก็จะหมดอายุลง ส่งผลให้ดีมานด์ปรับตัวขึ้น