นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก (GBS) ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ยังแกว่งผันผวนคาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,650 จุด โดยนักลงทุนวิตกกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ในการประชุมนโยบายการเงินในเดือน ก.ย.นี้ ประกอบกับติดตามตัวเลข PMI ภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นเดือนส.ค.และตัวเลข PCE ในสัปดาห์นี้
อีกทั้งปัจจัยด้านสภาพอากาศของจีนที่รุนแรงมากขึ้นคาดว่าจะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจของจีนได้ หลังจากหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ธนาคารฮั่งเส็งเปิดเผยว่าขณะนี้จีนกำลังเผชิญกับคลื่นความร้อนที่รุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ
ขณะที่ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวลงและหลายตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจสะท้อนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา
ส่วนปัจจัยในประเทศที่ยังคงต้องจับตา อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แถลงยอดการผลิตและส่งออกรถยนต์ รถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์, การจัดงาน "Thailand Focus 2022 ในหัวข้อ THE NEW HOPE" และสัปดาห์ที่ 4 กระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเลขการส่งออก-นำเข้า
และปัจจัยต่างประเทศ อาทิ ทางสหภาพยุโรป (อียู) รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นเดือนส.ค. สหรัฐ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นเดือน ส.ค. และยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ค. สหรัฐ รายงานยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือน ก.ค. ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือน ก.ค. และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์
รวมทั้งการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสันโฮล รัฐไวโอมิงหัวข้อ "Reassessing Constraints on the Economy and Policy" คาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ ทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งการปรับลดขนาดงบดุล (QT)
ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ได้แก่ TNP, KK, BJC, MAKRO, CBG, OSP, TKN, ICHI และ SAPPE
ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้ยังคงต้องจับตาประกาศตัวเลขดัชนีฝ่ายจัดซื้อภาคบริการและการผลิตซึ่งคาดว่ายังคงแข็งแกร่ง อีกทั้งจับตาดัชนีเงินเฟ้อส่วนบุคคล Core PCE ในเดือนกรกฎาคมอาจอ่อนตัวตามเงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐ เพราะราคาน้ำมันดิบที่เป็นสาเหตุหลักของเงินเฟ้อปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 90 เหรียญต่อบาร์เรล
ดังนั้นฝ่ายวิจัยประเมินว่าราคาทองคำเริ่ม Sideway ในกรอบ 1,730-1,775 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ เนื่องจากตลาดรับข่าวร้ายการขึ้นดอกเบี้ยช่วงกลางเดือน ก.ย.ไปแล้ว คำแนะนำหากลงมาไม่หลุดแนวรับให้เข้าซื้อ กลับตัวขึ้นไปไม่ผ่านแนวต้านให้เทขายทำกำไร