นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป (ICHI) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้คาดว่าจะทำได้ดีกว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ทั้งยอดขายและกำไร โดยที่คาดว่ายอดขายในครึ่งปีหลังของปีนี้จะเติบโตมากกว่า 10% โดยคาดว่าจะเห็นการเติบโตของยอดขายที่โดดเด่นในช่วงไตรมาส 4/65 เนื่องจากเป็นช่วงที่บริษัทจะมียอดขายที่เติบโตมากจากการที่เป็นช่วงเข้าสู่เทศกาล รวมถึงมีการเริ่มรับรู้รายได้จากเครื่องดื่มใหม่ที่ออกมาจำหน่ายในช่วงปลายไตรมาส 3/65 ประกอบกับในส่วนของรายได้จากการรับจ้างผลิตจะเริ่มเข้ามาในช่วงต้นไตรมาส 4/65 เป็นต้นไป
โดยที่บริษัทยังคงมั่นใจในความแข็งแกร่งของช่องทางการขาย Traditional Trade และความเป็นแบรนด์ยอดนิยมครองใจคนไทยอันดับ 1 ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน พร้อมกับการขยายตลาดอาเซียนที่เข้มข้นมากขึ้น เพื่อผลักดันยอดขายในกลุ่มประเทศอาเซียนให้เติบโตขึ้นมาได้ตามแผนที่บริษัทวางไว้ โดยช่วงครึ่งปีแรกยอดขายในตลาดกัมพูชาและอินโดนีเซียกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นอย่างมาก ซึ่งสะท้อนถึงทั้งกำลังซื้อที่ฟื้นตัวและการทำการตลาดที่ดี
รวมถึงการปรับปรุงพัฒนาสินค้าเครื่องดื่มที่ถูกใจกับกลุ่มผู้บริโภค ภายใต้การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยกลยุทธ์ "3N" (New Product, New Market, New Business) เป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนยอดขายในกลุ่มประเทศอาเซียน และหนุนยอดขายรวมของบริษัทให้ทำได้ตามเป้าหมายในปี 65 ที่ตั้งเป้าเติบโต 24% จากปีก่อน หรือมาอยู่ที่ 6.5 พันล้านบาท
ขณะที่การขยายตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศอาเซียน ล่าสุดบริษัทได้นำเครื่องดื่มเข้าไปจำหน่ายในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นตลาดใหม่ในอาเซียน โดยนำสินค้าเข้าไปวางจำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เก็ตเครือ SM และอยู่ระหว่างการรอดูผลตอบรับของตลาด หากยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามที่ประเมินไว้ก็คาดว่าในช่วง 2-5 ปีมีโอกาสเข้าไปตั้งโรงงานผลิตในประเทศฟิลิปปินส์เพิ่มเติมได้ จากปัจจุบันใช้การส่งสินค้าจากโรงงานในอินโดนีเซียเข้าไปจำหน่าย
ด้านแรงกดดันต้นทุนของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังมองว่าจะเริ่มทรงตัว เนื่องจากในปัจจุบันต้นทุนการผลิต วัตถุดิบต่างๆ รวมถึงต้นทุนการขนส่งค่อยๆ เริ่มทรงตัว โดยเฉพาะราคาน้ำมันลดลงมาจากช่วงก่อนหน้านี้ ประกอบกับบริษัทได้ปรับราคาขายส่งกับตัวกลางเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งจะเริ่มรับรู้ผลการปรับเพิ่มราคาในช่วงไตรมาส 3/65 เป็นต้นไป ทำให้แนวโน้มของอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะค่อยๆ เห็นการปรับตัวดีขึ้น คาดว่าในช่วงไตรมาส 3/65 อัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 18.5% จากไตรมาส 2/65 อยู่ที่ 18%
ส่วนของภาษีความหวานที่จะมีการเรียกเก็บเพิ่มขึ้นในเกณฑ์ใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 65 บริษัทยืนยันว่าไม่มีผลกระทบในเรื่องดังกล่าว หลังจากบริษัทมีการวิจัยและพัฒนาปรับปรุงสูตรเครื่องดื่มของบริษัทให้เป็นไปตามเกณฑ์ใหม่ โดยสามารถลดน้ำตาลลงได้ 6% ตามเกณฑ์ ทำให้บริษัทไม่ต้องเสียภาษีความหวานเพิ่มอีก 0.3% ตามเกณฑ์ใหม่
สำหรับตลาดธุรกิจเครื่องดื่ม Non-alcohol ในช่วงครึ่งปีหลังนี้บริษัทยังคาดว่าตลาดยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่กลับมาหลังโควิด-19 คลี่คลาย ประกอบกับการเปิดเมืองและเปิดประเทศ ทำให้การบริโภคกลับมาฟื้นตัว ทำให้ตลาดเครื่องดื่ม Non-alcohol กลับมาฟื้นตัวขึ้น และเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนต่อยอดขายและผลงานของบริษัทให้ฟื้นตัวกลับมาอย่างต่อเนื่อง