WHA ปรับขึ้น 1.76% หรือ เพิ่มขึ้น 0.06 บาท มาที่ 3.46 บาท มูลค่าซื้อขาย 161.06 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.37 น.จากราคาเปิด 3.40 บาท ราคาสูงสุด 3.48 บาท ราคาต่ำสุด 3.40 บาท
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) คาดไตรมาส 3/65 บันทึกรายได้นิคมสูง และไตรมาส 4/65 มีกำไรจากขายสินทรัพย์เข้า REIT
ทั้งนี้ ยอดขายนิคมฯครึ่งแรกปี 65 ทำได้ดีมากถึง 513 ไร่ ซึ่งแบ่งเป็นไทย 482 ไร่ และเวียดนาม 31 ไร่ และคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 87% y-o-y ซึ่งปีก่อนมียอดขายเป็นเพียง 275 ไร่ และถือว่าสามารถทำยอดขายในไตรมาส 2/65 ได้มากขึ้นเป็น 477 ไร่ เทียบกับไตรมาส 1/65 หรือ q-o-q ที่ขายได้เพียง 36 ไร่ ยังผลให้ยอดขายรอโอน (Backlog) สูงเป็น 649 ไร่ ข้อดีคือจะสามารถรับรู้เป็นรายได้ในอนาคตที่มีความมั่นคงเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ต่อไป
สำหรับพื้นที่ที่ลูกค้าให้ความสนใจและทำเป็น LOI (Letter of Intent) ณ สิ้นไตรมาส 2/65 เป็น 230 ไร่ แบ่งเป็นไทย 48 ไร่ และเวียดนามอีก 182 ไร่ ก็จะมีโอกาสขายได้เพิ่มในอนาคต และมีโอกาสสูงจะขายได้เพิ่มอีก 600 ไร่
ปรับเป้าการขายปีนี้เพิ่ม สำหรับที่ดินในโซนของระยอง 36 (R36) ทางบริษัทได้ให้แนวทางว่าลูกค้าที่สนใจจะเป็นอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ขณะที่ BYD บริษัทขนาดใหญ่ด้านรถยนต์ไฟฟ้าที่จีนได้ให้สัมภาษณ์ว่าสนใจจะลงทุนในไทยใช้วงเงินถึง 1.7 หมื่นล้านบาท จึงทำให้ตลาดฯคาดว่าว่าอาจจะเป็นลูกค้ารายนี้ที่จะมาซื้อที่ดินกับ WHA ต้องรอติดตามกันต่อไป
ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับเพิ่มเป้าขายนิคมปีนี้เพิ่มอีก 32% เป็น 1,650 ไร่ (+93% y-o-y) แบ่งเป็นไทย 1,400 ไร่และเวียดนาม 250 ไร่ เทียบกับเป้าขายเดิมที่ 1,250 ไร่ ถือว่าปีนี้เป็นปีที่สดใสสำหรับธุรกิจนิคมฯของบริษัทมาก
ด้านยอดปล่อยเช่า ธุรกิจโลจิสติกส์มาถึง 60% ของเป้าแล้ว ณ H1/65 ปล่อยเช่าพื้นที่แบบ BTS และ RBF/RBW ได้ 98,214 ตรม. และแบบระยะสั้นได้อีก 96,071 ตรม. รวมเป็น 194,285 ตรม. คิดเป็น 68% จากเป้าหมายปีนี้ที่ตั้งไว้คือ 285,000 ตรม.แล้ว โดยประเภทแรกคิดเป็น 53% จากเป้าหมายที่ 185,000 ตรม.และส่วนแบบระยะสั้นทำได้ใกล้เป้าหมายแล้วที่ 100,000 ตรม.คิดเป็น 96% สำหรับพื้นที่ที่ได้รับความสนใจเช่าสูงคือ เทพารักษ์ ซึ่งมีพื้นที่อยู่ 4 แสนตรม. บริษัทจึงคาดว่าจะเริ่มโครงการนี้ในระยะที่ 2 อีกบนพื้นที่ดิน 300 ไร่ ในปีหน้า
ธุรกิจสาธารณูปโภคมีการฟื้นตัวดี สำหรับยอดขายน้ำอุตสาหกรรมของบริษัทย่อยคือ WHAUP ทำได้แล้ว 75 ล้านลบม. จากเป้าหมายปีนี้ที่ 150 ล้านลบม. ขณะที่ความต้องการของผู้ใช้น้ำรายใหญ่ๆเพิ่มขึ้น, ลูกค้าใหม่ที่จะเริ่มดำเนินการ เช่น โรงไฟฟ้าของ GULF คือ GSRC เฟส 2, โรงงานปิโตรเคมี, SPP รวมทั้งนิคมที่เวียดนาม Nghe AN ก็มีอัตราการใช้น้ำที่สูงขึ้น ด้านธุรกิจไฟฟ้าก็มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นที่เพิ่มขึ้นคือ ปลายปี 64 ที่ 607 MW แต่มาถึง 1H65 เพิ่มเป็น 612 MW แบ่งเป็น 1) Conventional 548 MW 2) Solar Rooftop 62 MW และ 3) โรงไฟฟ้าขยะ 2 MW โดยเฉพาะ Solar Rooftop กำลังได้รับความนิยมสูง อีกทั้งในอนาคตก็จะมีธุรกิจก๊าซธรรมชาติให้บริการด้วย
สำหรับธุรกิจด้าน Digital ซึ่งมีทั้ง Data Center และ FTTx ซึ่งครอบคลุม 11 นิคมฯ รวมทั้งการปล่อยเช่าอาคารสำนักงานก็เป็นไปด้วยดี นอกจากนี้ยังมี Upside Risk ใน 2 เรื่องคือ 1) นิคมฯที่จะขายให้กับค่ายรถยนต์ EV จะรับรู้รายได้ได้เร็ว เพราะมีการสร้างสาธารณูปโภคไว้แล้ว และ 2) อัตรากำไรขั้นต้นที่เวียดนามมีโอกาสจะสูงขึ้นจาก 25% เป็น 40% หลังราคาที่ดินปรับขึ้นสูง
ทั้งนี้คาดว่ากำไรในครึ่งปีหลังปี 65 จะเร่งตัวดีขึ้น เนื่องจากไตรมาส 3/65 บันทึกรายได้นิคมสูง และไตรมาส 4/65 มีกำไรจากขายสินทรัพย์เข้า REIT มูลค่า 5.4 พันล้านบาท คาดว่าปีนี้บริษัทจะกำไรได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.8 พันล้านบาท +47% y-o-y ด้านราคาพื้นฐานประเมินด้วยวิธี SOP ได้ที่ 4.15 บาท ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 22%