นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ มาร์ท (JMART) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาเข้าลงทุนใน บมจ.น้ำตาลบุรีรัมย์ (BRR) เพิ่มเติม หลังจากเข้าถือหุ้น 51.15 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 6.30% มูลค่าลงทุนประมาณ 250 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเพิ่มเป็นไม่เกิน 500 ล้านบาทตามที่ได้ขออนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทไว้
ขณะที่ กลุ่ม JMART ยังสนใจจะเข้าไปมีส่วนร่วมในธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยของ BRR ซึ่งปัจจุบันใช้กำลังผลิตเต็มที่แล้ว แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด พร้อมมองโอกาสที่จะใช้เครื่องมือในตลาดทุนเพื่อเป็นช่องทางในการขยายธุรกิจดังกล่าว รวมทั้งสนใจในผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มาจากกระบวนการผลิตน้ำตาลของ BRR ด้วย
"เราเพิ่มสัดส่วนแน่นอน ประมาณการช่วงแรกจาก 250 ล้านบาท น่าจะเป็น 500 ล้านบาท ส่วนหลังจากนั้นมีการพัฒนาอะไร ก็มีอีกหลายเรื่องที่ได้คุยกันโดยเฉพาะการขยายโรงงานในส่วนของแพคเกจจิ้ง จำเป็นต้องมี tools ทางตลาดทุนไปใช้ เพื่อทำให้การผลิตขยายขึ้นมารองรับความต้องการที่มีเพิ่มขึ้นได้....เราเชื่อมั่นในธุรกิจของ BRR เชื่อในผลิตภัณฑ์ที่มีในกลุ่ม เพราะ By Product ยังมีเยอะมาก และมีโอกาสใช้เครื่องมือตลาดทุนเข้าไปขยับขยาย น่าจะทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้น" นายอดิศักดิ์ กล่าว
BRR เป็น Holding Company ที่ลงทุนใน 6 บริษัท ได้แก่ 1) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย โดยมีบริษัท โรงงานน้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด เป็นบริษัทแกน 2) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล โดย บริษัท บุรีรัมย์พลังงาน จำกัด, บริษัท บุรีรัมย์เพาเวอร์ จำกัด และ บริษัท บุรีรัมย์เพาเวอร์พลัส จำกัด 3) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ โดยบริษัท ปุ๋ยตรากุญแจ จำกัด 4) ธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์ เครื่องใช้ และอุปกรณ์ต่างๆ จากชานอ้อย และเยื่อพืชธรรมชาติชนิดอื่น โดย บริษัท ชูการ์เคน อีโคแวร์ จำกัด และ 5) ธุรกิจการบริหารจัดการโลจิ สติกส์และบริการขนส่ง โดยบริษัท บีอาร์อาร์ โลจิสติกส์ แมเนจเมนท์ จำกัด
นายอนันต์ ตั้งตรงเวชกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BRR กล่าวว่า ใน Ecosystem ของบริษัทมีชาวไร่มากกว่า 2 หมื่นครัวเรือน พื้นที่ปลูกมากกว่า 2 แสนไร่ กำลังผลิตน้ำตาล 2.3 หมื่นตัน/วัน ปริมาณอ้อยเข้าหีบ 3 ล้านตัน/ปี มี By Product อื่น ๆ ที่นำไปต่อยอดธุรกิจ เช่น กากอ้อย และกากน้ำตาล ซึ่งนำไปใช้กับโรงไฟฟ้า 3 แห่ง รวมทั้ง ธุรกิจปุ๋ยอินทรีย์ 7 หมื่น-1 แสนตัน/ปี และโรงงานปุ๋ยเคมี นอกจากนั้นยังมีธุรกิจโลจิสติกส์
และ ธุรกิจใหม่ คือบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยเป็น New S-Curve ที่มีลูกค้ายุโรปและสหรัฐเป็นหลัก ขณะนี้เดินกำลังผลิตเต็มที่ แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ อีกทั้งบริษัทอยู่ระหว่างจดสิทธิบัตรในการนำชานอ้อยมาทำเยื่อกระดาษขึ้นรูป ซึ่งมีแบรนด์จำหน่ายในประเทศและต่างประเทศ ผลิต OEM ให้ MAKRO
บริษัทยังอยู่ระหว่างการสร้างโรงงาน Wood pallet รวมถึงได้ใบอนุญาตทำป่าปลูกทดแทน ซึ่งลูกค้าหลักของ Wood pallet คือ BGE ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของญี่ปุ่นที่เป็นโรงไฟ้ฟ้าเจ้าใหญ่
นายอนันต์ กล่าวว่า การเข้ามาร่วมมือของกลุ่ม JMART ตอบโจทย์การยกระดับเกษตรกรรูปแบบใหม่ฝให้เป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ที่แท้จริงด้วยเทคโนโลยีของกลุ่ม JMART และจะช่วยยกระดับชีวิตเกษตรกรด้วยผลิตภัณฑ์และบริหารของ JMART
ขณะที่นายอดิศักดิ์ กล่าวเสริมว่า หลังจากที่เข้าไปถือหุ้นส่วนแรก 6.30% ใน BRR ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นแล้ว กลุ่ม JMART จะส่ง บมจ.ซิงเกอร์ (SINGER) เข้าไปนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ การทำธุรกิจเสริมด้วยการเป็นเฟรนไชส์ ให้กับชาวไร่อ้อย และชุมชน รวมทั้งพนักงานและบุคคลต่าง ๆ ใน Ecosystem ของ BRR เช่น ลูกหลานและครอบครัวชาวไร่ เพื่อนบ้าน คนขับรถบรรทุกของโรงงานในกลุ่ม เป็นต้น
นอกจากนั้น JMART อาจใช้ Connection ที่มีกับพันธมิตรต่างประเทศ เช่น พันธมิตรเกาหลี ในการนำเสนอสินค้าและผลิตภัณฑ์ของ BRR ไปเปิดตลาดใหม่ ๆ ในต่างประเทศเพิ่มเติม และใช้ Connection ของ BRR ภายใต้ในบุรีรัมย์ โมเดล เพื่อเข้าไปมีส่วนร่วม เช่น การไปลงทุนตั้งคอมมูนิตี้มอลล์ในทำเลที่ตรงกับความต้องการของชุมชนที่เกี่ยวข้องกับ BRR ซึ่งจะมีร้านค้าในกลุ่ม JAMRT ไปนำเสนอสินค้าต่าง ๆ ด้วย
ด้านนายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ SINGER กล่าวว่า บริษัทจะเป็นจุดแรกที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมใน Ecosystem ของ BRR โดยเข้าไปพูดคุยเบื้องต้น พบว่ามีครอบครัวชาวไร่อ้อย 8 หมื่น-1 แสนคนจาก 2 หมื่นครัวเรือน และยังมีชุมชนรอบข้าง ซึ่งถือว่าเป็นกำลังซื้อมหาศาล และยังมีสมาชิกที่อาจสนใจประกอบอาชีพเสริมที่มีอยู่ในเครือ SINGER ที่มีผลิตภัณฑ์และบริการหลากหลาย เช่น ประกันภัย เป็นต้น
อีกทั้งมีรถบรรทุกและรถกระบะกว่า 2,500 คัน ในกระบวนการขนส่งของ BRR ที่เป็นโอกาสที่จนำเสนอสินเชื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะสินเชื่อทะเบียนรถ
นายอดิศักดิ์ ยังเปิดเผยอีกว่า กลุ่ม JMART ยังมีการเจรจาความร่วมมือกับพันธมิตรรายอื่นเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าปลายเดือน ก.ย.หรืออย่างช้าต้นเดือน ต.ค.65 จะได้ข้อสรุปการเจรจากับพันธมิตรอีก 1 รายในธุรกิจเทคโนโลยีที่มี Scale ระดับโลก ซึ่งเป็นธุรกิจของคนไทยที่มีความชำนาญใน Business Model นี้ แต่ไม่ใช่ธุรกิจในตลาดหุ้น