นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เปิดเผยว่า แนวโน้มนอดขายในปี 65 คาดว่าจะมีโอกาสทำได้ทะลุเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ว่าจะเติบโต 10% จากปีก่อน หลังจากช่วงครึ่งปีแรกทำยอดขายได้สูงกว่าเป้าหมาย หรือเติบโต 12% และบริษัทยังมองเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง จากแรงหนุนหลักการฟื้นตัวของตลาดจีนหนุนยอดขายเนื้อไก่และเนื้อหมูให้ดีขึ้นมา ซึ่งจะทำให้ยอดขายรวมของบริษัทในครึ่งปีหลังสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญมาจากราคาขายเนื้อหมูในจีนเริ่มกลับมาฟื้นตัวอยู่ในระดับที่บริษัทสามารถทำกำไรได้แล้ว ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากธุรกิจหมูในจีนเข้ามาแล้ว โดยช่วงไตรมาส 2/65 ได้รับแรงกดดันต่อกำไรของบริษัทจากการบันทึกผลขาดทุนดังกล่าวเข้ามา 2 พันล้านบาท แต่ขณะนี้ราคาขายเนื้อหมูในจีนปรับขึ้นมาที่ 21 หยวน/กิโลกรัม หลังจากช่วงก่อนหน้าลดลงไปเหลือ 12 หยวน/กิโลกรัมทำให้บริษัทต้องรับผลขาดทุนเข้ามา
ด้านต้นทุนอาหารสัตว์ในช่วงครึ่งปีหลังมองว่าแรงกดดันมีแนวโน้มลดลงตามราคาที่ทยอยปรับตัวลดลง โดยเฉพาะราคาข้าวโพด ซึ่งการที่ต้นทุนราคาอาหารสัตว์ปรับเพิ่มขึ้นก่อนหน้านี้เป็นผลมาจากการเก็งกำไรสินค้าเกษตรในตลาดฟิวเจอร์สของนักลงทุน หลังจากสภาพคล่องในตลาดมีค่อนข้างอยู่มาก ทำให้นักลงทุนนำเงินมาเก็งกำไรกันมาก ส่งผลให้ราคาอาหารสัตว์สูงขึ้น แต่ปัจจุบันเริ่มเห็นค่อยๆปรับลดลงมา คาดว่าไตรมาส 4/65 จะเห็นความชัดเจนของต้นทุนอาหารสัตว์ที่ปรับลดลงมากที่สุด
ส่วนต้นทุนราคาพลังงานในช่วงครึ่งปีหลังมองว่าราคาน้ำมันจะเริ่มทรงตัว หรืออาจปรับลงเล็กน้อย ตามราคาตลาดโลก แต่อีกหนึ่งปัจจัยที่บริษัทติดตาม คือ ต้นทุนค่าไฟที่ยังต้องติตตามว่าจะมีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างไร เพราะมีผลต่อต้นทุนการผลิต แต่ช่วงที่ผ่านมานบริษัทได้ปรับขึ้นราคาขายไปบ้างเล็กน้อย หรือการปรับลดขนาดสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในระดับที่ดี และมั่นใจว่าไนช่วงครึ่งปีหลังนี้จะเห็นแนวโน้มของกำไรที่ดีกว่าครึ่งปีแรก
"ต้นทุนเฉลี่ยในช่วงที่ผ่านมาก็เพิ่มราว 10-20% แต่แล้วแต่ประเทศ อย่างในไทยต้นทุนเพิ่มขึ้นไม่ถึง 10% เพราะรัฐบาลเราช่วยเหลือไว้ค่อนข้างมาก ทำให้ต้นทุนไม่ปรับเพิ่มเร็วเหมือนอย่างอเมริกาที่พอราคาต้นทุนเพิ่ม ราคาขายก็ปรับเพิ่มตามทันที ซึ่งเราก็มีการปรับราคา หรือปรับขนาดสินค้าให้สอดคล่องกับต้นทุน เพราะเราเป็นธุรกิจที่ต้องการ Volumn เยอะ ทำให้เราต้องบาลานซ์ในเรื่องของปรับราคากับปรับขนาดสินค้า"นายประสิทธิ์ กล่าว
สำหรับงบลงทุนของบริษัทในปี 65 ได้ปรับลดลงมาเป็น 1.5-1.6 หมื่นล้านบาท จากปกติที่จะใช้งบลงทุนเฉลี่ย 2.5 หมื่นล้านบาท/ปี เนื่องจากเศรษฐกิจยังมีความผันผวน ทำให้บริษัทตัดสินใจว่าจะยังไม่เร่งการลงทุน เพื่อรักษาสภาพคล่องไว้มาก โดยที่เงินลงทุนในปีนี้จะใช้เพิ่มศักยภาพและปรับปรุงเครื่องจักร ลงทุนขยายฟาร์มหมู และลงทุนสร้างโรงงาน Plant base food รองรับการส่งออกไปยังต่างประเทศซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมกับเริ่มเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงเดือน เม.ย.66
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า Plant base food จะเป็นอีกหนึ่งไลน์กลุ่มสินค้า Food Tech ที่จะเสริมเข้ามาเป็นทางเลือกให้กับการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ และเป็นกลุ่มสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่ม และอีกหนึ่งไลน์สินค้าในกลุ่มนี้ที่มองว่าจะช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับบริษัท คือ Cell base food ซึ่งอาจจะเข้ามาทดแทนกลุ่มเนื้อสัตว์ปกติได้มากขึ้นในอนาคต จากรสชาติและสัมผัสของเนื้อที่ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริงๆมากที่สุด โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการเข้าไปลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพที่ทำ Cell base food 2 บริษัทในอิสราเอลและสหรัฐฯ ซึ่งจะมีการเข้ามาขยายตลาดในเอเชีย โดยทางบริษัทจะเข้าไปร่วมในการพัฒนาสินค้า และเป็นส่วนหนึ่งในการขยายเครือข่ายการขายในกลุ่มตลาดเอเชียให้กับพันธมิตรในอนาคต
สำหรับแผนการบริษัทสุกรในจีน คือ Chia Tai Investment Cp.,Ltd (CTI) เข้าตลาดหุ้นจีนนั้น ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการขออนุมัติจากทางหน่วยงานของจีน คาดว่าจะเดินหน้าได้ช่วงกลางปี 66 ส่วนธุรกิจสุกรในเวียดนาม คือ C.P. Vietnam Corporation (CPV) ยังอยู่ระหว่างการเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ แต่อาจล่าช้ากว่ากำหนดเดิมไปบ้าง เพราะต้องพิจารณากฎเกณฑ์ต่างๆให้สอดคล้องกับทางที่เวียดนามกำหนด คาดว่าจะเดินหน้าได้ในช่วงกลางปี 66 โดยจะเป็นบริษัทต่างชาติรายแรกที่เข้าไปอยู่ไนตลาดหุ้นเวียดนาม และมีไซส์ใหญ่สุด