ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ที่ระดับ "A-" ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 4.5 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A-" ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคงเดิมที่ "Stable" หรือ "คงที่"
ทั้งนี้ อันดับเครดิตของหุ้นกู้ชุดใหม่ใช้แทนอันดับเครดิตหุ้นกู้เดิมที่ได้รับการจัดอันดับเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 เนื่องจากบริษัทแจ้งความประสงค์เปลี่ยนแปลงวงเงินรวมของหุ้นกู้จากเดิม 3 พันล้านบาท โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปใช้ชำระคืนหนี้เงินกู้ที่จะครบกำหนด
อันดับเครดิตดังกล่าวยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการมีสินทรัพย์สัมปทานที่มีคุณภาพ กระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและสม่ำเสมอจากธุรกิจทางด่วน รวมถึงโอกาสเติบโตจากธุรกิจรถไฟฟ้า นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับสูงอันเป็นผลมาจากการลงทุนจำนวนมากในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอีกด้วย
หลังจากที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากโรคระบาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นตามลำดับจากสภาวะสังคมและเศรษฐกิจที่กลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น สำหรับ 7 เดือนแรกของปี 2565 ปริมาณจราจรบนทางด่วนเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 1 ล้านเที่ยว และรายได้ค่าผ่านทางเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 23% อยู่ที่ 22.47 ล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าปริมาณจราจรบนทางด่วนจะฟื้นกลับสู่ระดับที่เกินกว่า 1 ล้านเที่ยวต่อวันได้ในปี 2565
การดำเนินงานของธุรกิจรถไฟฟ้าก็ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ โดยใน 7 เดือนแรกของปี 2565 จำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 43% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 218,925 เที่ยวและรายได้ค่าโดยสารโดยเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 6 ล้านบาท โดยจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากหลังจากโรงเรียนกลับมาเปิดเรียนตามปกติ โดยบริษัทรายงานจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 274,623 เที่ยวในเดือนกรกฎาคม 2565
ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีโดยมีปัจจัยหนุนส่วนหนึ่งมาจากการกลับมาของกิจกรรมการท่องเที่ยว ใน 6 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมีรายได้ อยู่ที่ 6.4 พันล้านบาท มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท หนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 6.4 หมื่นล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ที่ 25.6 เท่า (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะดีขึ้นตามปริมาณจราจรบนทางด่วนและจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า รายได้ที่ปรับตัวดีขึ้นจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินของบริษัทลดลงมาอยู่ในระดับ 14-16 เท่าได้ในปี 2565
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้โดยมีกระแสเงินสดมาจากทั้งธุรกิจทางด่วนและธุรกิจรถไฟฟ้า รวมทั้งมีระดับอัตราส่วนหนี้สินที่สอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจนมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วอยู่ในระดับต่ำกว่า 7 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนตัวลงกว่าที่คาดมากซึ่งอาจมีสาเหตุที่มาจากทั้งผลการดำเนินงานที่ถดถอยลงอย่างต่อเนื่องยาวนานหรือการลงทุนโดยการก่อหนี้จำนวนมากจนทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่า 10 เท่าอย่างต่อเนื่อง