SIRI เล็งจับมือกว่า 10 พาร์ทเนอร์ตั้งทีม R&D ปั้น Net-zero Home ภายในปี 93

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 29, 2022 15:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

SIRI  เล็งจับมือกว่า 10 พาร์ทเนอร์ตั้งทีม R&D ปั้น Net-zero Home ภายในปี 93

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า แสนสิริวางแผนจะจับมือพันธมิตรกว่า 10 ราย ตั้งทีมวิจัยและพัฒนา (Research & Development Team) เพื่อพัฒนาบ้านที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net-Zero Home) ครั้งแรกของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ได้ภายในปี 2050 (พ.ศ.2593) โดยมีบริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าครบวงจร และ บริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ จำกัด ผู้พัฒนาโซลูชั่นพลังงานโซลาร์ครบวงจรเป็นหนึ่งในพันธมิตร

บริษัทตั้งงบลงทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 93 เฉลี่ย 500 ล้านบาท/ปี โดยได้ลงทุนในบริษัทที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และเทคโนโลยีการก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันได้ลงทุนไปแล้ว 3 บริษัท คิดเป็นเงินลงทุนราว 120 ล้านบาท ได้แก่ SHARGE+ Farmshelf และ Greenpytoon

บริษัทมุ่งประหยัดพลังงานและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับการการใช้นวัตกรรมเพื่อพลังงานสะอาดเป็น 100% ภายในปี 68 ผ่านการขยายแผนการติดตั้ง Solar Roof และ EV Charger ครบ 100% ให้กับบ้านแสนสิริทุกหลังทุกระดับราคา, ติดตั้ง Solar Roof ครบ 100% ในคลับเฮาส์ของทุกโครงการใหม่แสนสิริ, ติดตั้งระบบสูบน้ำและบำบัดน้ำเสียพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Water Treatment Pump) ในพื้นที่ส่วนกลางของทุกโครงการ, เปลี่ยนรถส่วนกลางของบริษัทให้เป็นรถ EV 100% และเปลี่ยนการใช้น้ำมันของเครื่องจักรทุกชนิดมาใช้พลังงานไบโอดีเซล 100%

สำหรับกลุ่มบ้านของแสนสิริที่ได้เริ่มมีการติดตั้ง Solar Roof และ EV Charger จะเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับ B+ ขึ้นไป ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ได้แก่ แบรนด์บุราสิริ เศรษฐสิริ รวมถึงแบรนด์ระดับ A ได้แก่ นราสิริ และสราญส์ริ โดยที่บริษัทจะมีการนำ Solar Roof และ EV Charger รวมเข้าไปเมื่อมีการก่อสร้างบ้าน ซึ่งจะรวมอยู่ในราคาขายบ้านที่เสนอให้กับลูกค้าอยู่แล้ว แม้ว่าราคาขายจะเพิ่มสูงขึ้นบ้าง แต่บริษัทเชื่อว่าลูกค้าจะเห็นถึงความสำคัญของการประหยัดพลังงานที่แลกมา และความคุ้มค่าที่มากกว่าลูกค้าไปติดตั้งเองภายหลัง ทำให้ลูกค้ายินดีที่จะซื้อบ้านที่มีความสะดวกครบถ้วนในทุกฟังก์ชั่นในยุคสมัยใหม่

บริษัทยังตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะกลางที่จะพัฒนาบ้านประหยัดพลังงาน (Low-energy Home) ภายในปี 66 และบ้านที่ลดการปล่อยคาร์บอน 30% (Low-carbon Home) ภายในปี 73 เหลือ 115,000 ตัน/ปื และบริษัทยังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัยเทรนด์แห่งอนาคตและนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน เช่น การใช้ AI ในการคำนวณการประหยัดพลังงานของที่อยู่อาศัย การใช้ไฟเบอร์แทนเหล็กเส้นในการก่อสร้าง การพัฒนานวัตกรรมการก่อสร้างแบบพรีคาสต์ให้ปลอ่ยคาร์บอนและของเสียเป็นศูนย์, หลังคาโซลาร์เซลส์ที่ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้นและมีแบตเตอร์รี่กักเก็บพลังงานไว้ใช้ในเวลากลางคืน กระเบื้องลอนมุงหลังคาที่ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ การแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ระหว่างครัวเรือน สวนที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% และนวัตกรรมของเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าแห่งอนาคต เป็นต้น

"แสนสิริมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกมิติและครอบคลุมมากที่สุด โดยเฉพาะในส่วนภาคครัวเรือนและภาคคู่ค้าที่เป็นเรื่องท้าทายและไม่เคยมีใครทำมาก่อน แต่หากแสนสิริทำได้ ก็จะเป็นการจุดประกายให้องค์กรอื่นๆร่วมมือกันเข้ามาแก้ไขการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้นส่วนนี้กันมากขึ้น ทั้งนี้ การวางกลยุทธ์ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคครัวเรือนนั้นไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่จะช่วยปรับพฤติกรรมและแนวคิดของผู้อยู่อาศัยให้เข้าใจและใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เมื่อผู้คนในที่อยู่อาศัยอันเป็นหน่วยเล็กๆในสังคมร่วมกันปรับพฤติกรรม ก็จะทำให้เกิดการขยายสู่พฤติกรรมการใช้พลังงานในที่ทำงานและสถานที่อื่นๆตามมา อันจะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนและการแก้ปัญหาโลกร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพในที่สุด" นายอุทัย กล่าว

นายอุทัย ยังเปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่ายอดขายในช่วง 9 เดือนมั่นใจว่าจะทำได้ 3 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 85% จากเป้าหมายยอดขายรวม 3.5 หมื่นล้านบาท โดยที่บริษัทยังคงดำเนินกลยุทธ์ในช่วงครึ่งปีหลังแบบ Speed to Market การมองตลาดเร็ว พร้อมปรับตัวไวรับทุกสถานการณ์ และความเข้าใจในความต้องการลูกค้าอย่างแท้จริง

ขณะที่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 3/65 บริษัทยังมองว่ากลุ่มลูกค้ายังคงมีความต้องการที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มบ้านแนวราบ และกลุ่มบ้านหรูที่จับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง แต่ลูกค้าบางส่วนอาจมีการตัดสินใจมากขึ้น จากอัตราเงินเฟ้อที่สูง และทิศทางดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น ทำให้การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยที่ต้องใช้ระยะเวลาในการกู้ที่นานมีการคิดตัดสินใจมากขึ้น แต่บริษัทยังมั่นใจว่ายอดขายสามารถทำได้ตามเป้าที่วางไว้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ