ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) ที่ระดับ "A-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" พร้อมกันนี้ ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A-" ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ไปชำระคืนเงินกู้เดิม และ/หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ และ/หรือใช้ในการขยายธุรกิจ
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงผลงานที่ได้รับการยอมรับของบริษัทในฐานะหนึ่งในผู้นำในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย ตลอดจนฐานรายได้ประจำจำนวนมากจากธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภคและเงินปันผลรับจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าหลายแห่ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนโดยความผันผวนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนความเสี่ยงของประเทศและความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของบริษัทในต่างประเทศ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังคงพิจารณาถึงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เปราะบางจากผลกระทบของของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19)
บริษัทมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 การที่บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวนมากในประเทศไทย และมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นในประเทศเวียดนาม ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้น 54.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 2.7 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.3 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 จากระดับ 1.2 พันล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2564 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ที่ 2.9 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 เทียบกับ 4.3 เท่าในปี 2564
ในอนาคต ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัททั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนามจะปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังการระบาดของโรคโควิด 19 ทริสเรทติ้งยังมองว่าบริษัทจะยังคงได้รับประโยชน์จากความต้องการในการย้ายฐานการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากความตึงเครียดของสงครามทางการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน และผลกระทบจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน
ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งประมาณการว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 17%-28% ต่อปีมาอยู่ที่ระดับ 6.1-9.4 พันล้านบาทในปี 2565-2567 ในขณะที่ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3.3-3.8 พันล้านบาทต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนการลงทุนจำนวนมากซึ่งรวมถึงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ แม้ว่าจะมีการลงทุนจำนวนมาก แต่เราคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทจะอยู่ในระดับปานกลางในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 3.7-5.3 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะอยู่ที่ 37%-43% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ตามข้อกำหนดทางการเงินของตราสารหนี้ที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน ให้ต่ำกว่า 2.5 เท่านั้น ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.6 เท่า ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทน่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณการ
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมต่อไปได้ ทั้งนี้ คาดว่ารายได้ประจำจากธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภค รวมทั้งเงินปันผลจากธุรกิจโรงไฟฟ้า และรายได้ค่าเช่าโรงงานอุตสาหกรรมจะช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินงานให้แก่บริษัทได้บางส่วนในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากภาระหนี้ของบริษัทลดลงจนส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ต่ำกว่า 4 เท่าอย่างต่อเนื่องยาวนาน และมีฐานรายได้จากประเทศเวียดนาม และ/หรือประทศอื่นเพิ่มขึ้น ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลง หากบริษัทมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นจนส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA สูงเกินกว่า 8 เท่าเป็นระยะเวลานาน