พร้อมทั้งคาดกำไรของบริษัทจดทะเบียนปี 65 จะเติบโต 9.2% คิดเป็น EPS ที่ 98.2 บาท ขณะที่ปี 66 คาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโต 10.6% คิดเป็น EPS ที่ 107.4 บาท
แนะนำลงทุนในกลุ่มหุ้นที่ผลประกอบการฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ อาทิ กลุ่มการบริโภค การท่องเที่ยว กลุ่มสื่อสาร เทคโนโลยี ขณะที่กลุ่มธนาคาร มีความน่าสนใจลงทุนชัดเจน หลังจากคลายความกังวลคุณภาพสินทรัพย์ รวมทั้ง อุตสาหกรรม SME ปรับตัวดีขึ้น พร้อมทั้งแนะนำลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และกลุ่มโลจิสติกส์
สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุน แนะนำให้ลงทุนในหุ้นสัดส่วน 65% ทองคำ 10% กองทุนอสังหาฯ 10% ส่วนที่เหลือให้ถือเป็นเงินสดไว้
นายชัยพร กล่าวว่า มุมมองต่อ SET Index ช่วงที่เหลือของปีนี้ว่ายังคงมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องเป็นแรงกดดันให้ประเทศขนาดใหญ่ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจของไทย สำหรับสหรัฐมีโอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 1.00% ภายในสิ้นปีนี้ หรือคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยถึงระดับ 3.25-3.50% ซึ่งต้องติดตามการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือน ก.ย. หากปรับขึ้น 0.75% จะเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ตลาดคาด แต่หากปรับขึ้น 0.50% จะเป็นมุมมองบวกมากขึ้น และทิศทางการปรับขึ้นในระยะข้างหน้าจะเป็นระดับที่ชะลอลง และคาดว่าจะหยุดปรับขึ้นในไตรมาส 1/66 ขณะที่คาดว่าเศรษฐกิจของไทยจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญตามการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา โดยในปีนี้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาแล้ว 1.1 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปต่อเนื่องจนเข้าสู่ภาวะปกติก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่พึ่งพาภาคการท่องเที่ยวอยู่ในสัดส่วน 20% ของ GDP สำหรับการเมืองในประเทศมองว่ารัฐบาลจะอยู่ครบวาระและมีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือน ก.พ.66 ซึ่งทำให้การเมืองจากนี้ไปจนถึงการเลือกตั้งจะมีการดีเบต (Debate) และชูนโยบายของพรรคการเมืองต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพโดยรวมคึกคักก่อนการเลือกตั้ง