ทรีนีตี้ ซื้อ 33.50 ยูโอบี เคย์เฮียน ซื้อ 33.00 ฟินันเซียไซรัส ซื้อ 32.00 ทิสโก้ ซื้อ 31.50 โนมูระ พัฒนสิน ซื้อ 30.00 หยวนต้า ซื้อ 29.00
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้ว่าหุ้น OR จะเป็นหุ้นที่ถูกมองว่าอยู่ในกลุ่มพลังงาน แต่จริง ๆ แล้วเป็นหุ้นที่ผสมระหว่างหุ้นพลังงานและหุ้นที่เกี่ยวกับการเปิดเมือง เนื่องจากผลประกอบการในปัจจุบันทั้งในธุรกิจน้ำมันและธุรกิจค้าปลีกได้รับประโยชน์จากนโยบายการเปิดเมือง เพราะฉะนั้นจึงประเมินว่าผลประกอบการของ OR ในช่วงที่เหลือของปี (ไตรมาส 3-4/65) แม้จะไม่ได้โตแรงอย่างช่วงไตรมาส 2/65 ที่ผ่านมา แต่ภาพรวมยังคงสดใสจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
ในขณะที่อีก 1-2 ปีข้างหน้า คาดว่าสัดส่วนของผลประกอบการฝั่งธุรกิจค้าปลีกน่าจะปรับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนใกล้จะแซงฝั่งของธุรกิจพลังงาน สะท้อนได้จากการซื้อธุรกิจอย่างต่อเนื่องและความพยายามที่จะบริหารพื้นที่ในปั๊มน้ำมันให้มีความหลากหลายมากขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนเองก็จะเปลี่ยนมุมมองการมองหุ้น แล้วก็ให้ Valuation ที่สูงมากขึ้นตามธุรกิจของทางด้านค้าปลีก จึงมองว่าหุ้นของ OR มีความน่าสนใจและยังคงคำแนะนำซื้อ ให้ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 33 บาท/หุ้น
ทางด้าน บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯ ว่า การที่ OR ประกาศเข้าซื้อหุ้น 25% ของ ดุสิตฟู้ดส์ (DF) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบมจ.ดุสิตธานี (DUSIT) มูลค่าไม่เกิน 299.6 ล้านบาท โดย DF เป็นบริษัทที่ลงทุนในธุรกิจอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยเน้นธุรกิจอาหารที่มีการเติบโตสูงและเชื่อมโยงกับธุรกิจอาหารของกลุ่มบริษัทในเครือทั้งธุรกิจโรงแรม และสถาบันการศึกษา ซึ่งการลงทุนครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพธุรกิจไลฟ์สไตล์ของ OR โดยเพิ่มความหลากหลายของการดำเนินธุรกิจอาหาร รวมทั้งสร้างโอกาสในการเติบโตร่วมกันทั้งในและต่างประเทศ
ฝ่ายวิจัยมีมุมองเป็นบวก จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมา OR พยายามลงทุนในกลุ่มธุรกิจอาหารที่มีการเติบโต และมีผลตอบแทนการลงทุนที่สูง ถึงแม้ที่ผ่านมามูลค่าการลงทุนในแต่ละบริษัทจะไม่มาก แต่เชื่อว่าการเก็บเล็กผสมน้อย จะต่อยอดให้ OR เติบโตในอนาคตได้ สำหรับการลงทุนในดุสิตฟู้ดส์ครั้งนี้ ถือได้ว่ามี ROI ที่ดีอยู่ในระดับ 15-30% อ้างอิงจากผลประกอบการของดุสิตฟู้ดส์ในปี 63-64 ที่มีกำไรอยู่ 382 และ 208 ล้านบาทตามลำดับ ซึ่งเป็นช่วงปีที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ดังนั้นแล้วถ้าในสภาวะปกติเราเชื่อว่าผลประกอบการและการเติบโตจะอยู่ในระดับที่ดีกว่านี้ จึงยังคงคำแนะนำซื้อ
ส่วน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯ ว่า ประเมินปริมาณนักท่องเที่ยวในปี 65 เป็น 9.4 ล้านคน (เดิม 5.6 ล้านคน) เทียบกับปี 64 อยู่ที่ 0.4 ล้านคน และมาตรการช่วยเหลือจากรัฐจะช่วยหนุนปริมาณใช้น้ำมันในประเทศทั้งส่วนของสถานีบริการและ Commercial เติบโต รวมถึงมีแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันดีเซลจากกลุ่มโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และมองครึ่งปีหลังปี 65 (H2/65)การขยายสาขาเร่งตัวตามการฟื้นของเศรษฐกิจ (H1/65 ขยายไป 20 สาขา) โดยเป้าทั้งปีอยู่ที่ 117 สาขา นอกจากนี้สำหรับสถานีชาร์จ EV ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 450 แห่ง (H1/65 อยู่ที่ 116 แห่ง) มองเตรียมระบบไว้พร้อมสำหรับการขยายแบบเร่งตัวแล้ว ทั้งนี้บริษัทได้เริ่มจัดเก็บรายได้ EV Charging เมื่อ 1 ส.ค. 65 แม้ทำให้จำนวนผู้ใช้ลดลง แต่คาดสุดท้ายจะค่อย ๆ กลับมาเติบโต
ขณะที่ปรับเพิ่มเป้าสาขาธุรกิจ Lifestyle เพิ่มการขยายคาเฟ่อเมซอนปี 65 เป็น 415 แห่ง (เดิม 389 แห่ง) โดย H1/65 ขยายได้ 100 แห่ง ปัจจุบันมีผู้ต้องการร่วมธุรกิจจำนวนมาก มองแนวโน้มธุรกิจที่ฟื้นตัวจะทำให้การขยายสาขาทำได้มากขึ้น ทั้งนี้ในด้านของต้นทุนวัตถุดิบที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น มีการซื้อล่วงหน้ารองรับของ H2/65 แล้ว และคาดสามารถปรับเพิ่มราคาขายได้ เช่นเดียวกับผู้ประกอบการอื่นในตลาด
และธุรกิจ Global คงเป้าเพิ่มสถานีบริการน้ำมันสุทธิ 73 แห่งในปี 65 ส่วนคาเฟ่อเมซอนตั้งเป้าเพิ่มสุทธิ 119 แห่ง โดยมองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดีในฟิลิปปินส์และกัมพูชา มีโอกาสที่จะขยายสาขาสถานีบริการได้สูงกว่าเป้าได้ ทั้งนี้ H1/65 การขยายสถานีบริการทำได้ 14 แห่ง และคาเฟ่อเมซอนทำได้ 20 แห่ง
https://youtu.be/UrLag6FFQgY