ทริสฯคงอันดับเครดิต MIDA ที่ BB ปรับแนวโน้มเป็น Stable จาก Negative

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 31, 2022 15:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ไมด้า แอสเซ็ท (MIDA) ที่ระดับ "BB" พร้อมทั้งยังเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทกลับมาเป็น "Stable" หรือ "คงที่" จาก "Negative" หรือ "ลบ" ด้วย โดยการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมของบริษัทและความกังวลที่ลดลงเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านการกู้ยืมใหม่ (รีไฟแนนซ์) และสภาพคล่องของบริษัท

ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงธุรกิจของบริษัทที่มีขนาดเล็กแต่มีความหลากหลาย ตลอดจนการคาดการณ์ถึงการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยของบริษัท รวมถึงธุรกิจเช่าซื้อที่เติบโตช้า ภาระหนี้ที่อยู่ในระดับปานกลาง และสภาพคล่องที่ตึงตัว

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

  • ธุรกิจขนาดเล็กแต่มีความหลากหลาย ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีขนาดธุรกิจที่ค่อนข้างเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทอื่น ๆ ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิต โดยบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานที่ระดับ 2-3 พันล้านบาทต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทหดตัวลงมาอยู่ที่ 0.2 พันล้านบาทในปี 2564 จาก 0.5-0.6 พันล้านบาทต่อปีในช่วงก่อนที่จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) เนื่องจากผลกระทบจากโรคระบาดที่ยืดเยื้อ

อย่างไรก็ตาม แหล่งรายได้ที่กระจายตัวจากธุรกิจที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันของบริษัท จำนวน 3 กลุ่มยังคงเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัท โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจเช่าซื้อซึ่งรวมถึงสินเชื่อเช่าซื้อยานพาหนะและเครื่องใช้ไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วน 44% ของรายได้รวมจากการจำหน่ายสินค้าและบริการ ส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าคิดเป็นสัดส่วน 17% ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์รวมทั้งรายได้จากธุรกิจโรงแรมและการบริการคิดเป็นสัดส่วน 20% และ 17% ตามลำดับ

  • ธุรกิจโรงแรมที่คาดว่าจะฟื้นตัว ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจโรงแรมของบริษัทจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากอุปสงค์ห้องพักโรงแรมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมาตรการควบคุมการเดินทางเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มีการผ่อนคลายลง โดยสมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) สำหรับโรงแรมของบริษัทในปี 2565 จะต่ำกว่าระดับในปี 2562 อยู่ 46% และจะฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนเกิดสถานการณ์โรคระบาดได้ภายในปี 2567 ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากธุรกิจโรงแรมจะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในปี 2565 ด้วยระดับรายได้ที่ต่ำกว่าในปี 2562 อยู่ 36% อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 400-600 ล้านบาทในระหว่างปี 2566-2567 จากการดำเนินงานที่ฟื้นตัวของโรงแรมทั้ง 8 แห่งของบริษัท

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 รายได้จากธุรกิจโรงแรมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 153 ล้านบาทเทียบกับระดับ 82 ล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ถึงแม้ว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของโรงแรมของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 จะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อน สถานการณ์โรคระบาดเกือบ 50% แต่ระดับดังกล่าวก็ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วประมาณ 1 เท่า ซึ่งการฟื้นตัวดังกล่าวเป็นผลมาจากอัตราการเข้าพักที่เพิ่มขึ้นของโรงแรมในต่างจังหวัดของบริษัทและจากค่าห้องเฉลี่ยต่อคืนที่ปรับตัวดีขึ้นในโรงแรมบางแห่งของบริษัท ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีแนวโน้มของธุรกิจโรงแรมที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งจะช่วยสนับสนุนรายได้ของบริษัทในช่วงปีที่ประมาณการไว้

  • ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยได้รับการสนับสนุนจากรายได้จากการจำหน่ายคอนโดมิเนียม ทริสเรทติ้งงมองว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทอาจได้รับผลกระทบจากภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่ท้าทายในช่วงที่เหลือของปี 2565 ทั้งนี้ ภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูงมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการซื้อขายที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่อาศัยในกลุ่มระดับราคาที่ต่ำลงมาซึ่งมีอัตราการปฏิเสธการให้สินเชื่อจากสถาบันการเงินที่สูง ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นนั้นก็อาจส่งผลให้ต้นทุนในการพัฒนาโครงการและต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการเพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกันก็บั่นทอนกำลังซื้อของผู้ต้องการซื้อบ้านลงเช่นกัน ภายใต้ประมาณการพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทจะฟื้นตัวด้วยรายได้ที่ระดับ 400-800 ล้านบาทในช่วงปีประมาณการ โดยทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการจำหน่ายคอนโดมิเนียมในโครงการ "The Panora Pattaya" ที่คาดว่าจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ได้ในปี 2565 จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของรายได้ของบริษัทในช่วงปีประมาณการ

ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้ทั้งสิ้นจำนวน 544 ล้านบาท ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่า 250 ล้านบาทของจำนวนดังกล่าวจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2565 และส่วนที่เหลือคาดว่าจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2566 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนกำไรขั้นต้นจากโครงการที่อยู่อาศัยเอาไว้ที่ระดับประมาณ 30%-32% ได้ตลอดช่วงประมาณการอีกด้วย

  • ธุรกิจเช่าซื้อจะยังคงเติบโตช้า ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าของบริษัทจะยังคงได้รับแรงกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการแข่งขันที่รุนแรงต่อไปในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยสมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ามูลค่าสินเชื่อเช่าซื้อคงค้างของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 3.4-3.8 พันล้านบาทในระหว่างปี 2565-2567 การขยายตัวของสินเชื่ออย่างค่อยเป็นค่อยไปของทั้งในส่วนของบริษัทเองและของ บมจ. ไมด้า ลิสซิ่ง (ML) คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของสินเชื่อได้ ในขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างของ Mida (Lao) Financing Co., Ltd. (MIDA Lao) คาดว่าจะยังคงเติบโตค่อนข้างช้า

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อไว้ได้ที่ระดับประมาณ 24% ในช่วงปีประมาณการซึ่งลดลงจากระดับในช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โรคระบาดซึ่งอยู่ที่ประมาณ 28% เนื่องจากกำลังซื้อของผู้ซื้อที่ลดลงจากภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนการแข่งขันจากทั้งคู่แข่งทางตรงและทางอ้อมที่คาดว่าจะเป็นปัจจัยกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าของบริษัท ทั้งนี้ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมีอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อตามงบการเงินรวมอยู่ที่ระดับ 24.2%

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาคุณภาพสินทรัพย์ของสินเชื่อเช่าซื้อเอาไว้ได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเนื่องจากบริษัทได้ปรับเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น เช่น การตรวจสอบสถานะของลูกค้าจาก บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด สำหรับกรณีการซื้อสินค้ามูลค่าสูง ทั้งนี้ สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 90 วันต่อสินเชื่อรวม) ตามงบการเงินรวมของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 9% ในระหว่างปี 2565-2567 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะดำรงอัตราส่วนการตั้งสำรองสำหรับธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อทุกประเภทที่ระดับประมาณ 50% ในช่วงปีประมาณการ โดยมองว่าระดับ 50% นั้นเพียงพอเนื่องจากสินเชื่อเช่าซื้อของบริษัทมีการใช้สินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน

ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 บริษัทได้เริ่มธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์โดยต่อยอดจากฐานลูกค้าและทีมพนักงานขายที่มีอยู่เพื่อขยายยอดมูลค่าสินเชื่อ ในเบื้องต้นบริษัทวางแผนจะเสนอสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ให้แก่ลูกค้าในฐานเดิมของบริษัทแล้วจากนั้นจะขยายสู่การเสนอบริการผ่านตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในลำดับต่อไป ธุรกิจดังกล่าวน่าจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ฐานรายได้จากการจำหน่ายและรายได้ดอกเบี้ยของบริษัท อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าของธุรกิจดังกล่าวยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและแนวโน้มของความสำเร็จยังต้องรอติดตามผลต่อไป

  • ภาระหนี้จะยังคงอยู่ในระดับปานกลาง ภายใต้ประมาณการกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับปานกลางด้วยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 53%-54% ในระหว่างปี 2565-2567 โดยการคาดการณ์ดังกล่าวอยู่ภายใต้สมมติฐานที่ยอดสินเชื่อคงค้างของบริษัทจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องและบริษัทจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้งบประมาณซื้อที่ดินและใช้งบสำหรับธุรกิจให้เช่าและบริการที่ประมาณ 100-160 ล้านบาทต่อปีในช่วงปีประมาณการ และเนื่องจากทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมและการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทจึงคาดว่าน่าจะกลับมาอยู่ที่ระดับ 3% ได้ภายในปี 2567

เงื่อนไขทางการเงินของบริษัทกำหนดให้บริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 2 เท่า ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 1.1 เท่า ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขทางการเงินดังกล่าวได้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

  • สภาพคล่องจะยังคงตึงตัว ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทจะยังคงตึงตัวแต่อยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2565 ระบุว่าบริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจำนวนทั้งสิ้น 3.9 พันล้านบาทซึ่งประกอบไปด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 1.7 พันล้านบาท เงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินจำนวน 937 ล้านบาท หุ้นกู้จำนวน 720 ล้านบาท และเงินกู้ยืมระยะยาวอีกจำนวน 540 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 94 ล้านบาท เงินต้นจากลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อซึ่งจะครบกำหนดชำระภายใน 1 ปีจำนวน 1.4 พันล้านบาท และที่ดินที่ปลอดภาระค้ำประกันมูลค่าตามบัญชีอีกจำนวน 196 ล้านบาทซึ่งสามารถใช้เป็นหลักประกันสำหรับสภาพคล่องเพิ่มเติมได้

ในการนี้ บริษัทได้ชำระหนี้หุ้นกู้จำนวน 1.1 พันล้านบาทที่ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนกุมภาพันธ์และเดือนเมษายน 2565 ด้วยเงินกู้ยืมจากบุคคลและบริษัทที่เกี่ยวข้องกันซึ่งช่วยลดทอนความเสี่ยงของการรีไฟแนนซ์ลง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่าจำนวนทั้งสิ้น 5.3 พันล้านบาท โดยบริษัทมีหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนประกอบด้วยหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทและของบริษัทย่อยต่าง ๆ อยู่ที่จำนวน 3.5 พันล้านบาทหรือคิดเป็นอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทางการเงินรวมที่ระดับ 68% เนื่องจากอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 50% ตาม "เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้" ของทริสเรทติ้ง ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงมองว่าเจ้าหนี้ไม่มีหลักประกันของบริษัทมีความเสียเปรียบในด้านลำดับสิทธิเรียกร้องเหนือสินทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับเจ้าหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน

สมมติฐานกรณีพื้นฐานที่สำคัญของทริสเรทติ้งสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 2565-2567 มีดังนี้

  • รายได้จากการดำเนินงานจะอยู่ที่ระดับ 2.1-2.6 พันล้านบาท
  • ยอดสินเชื่อเช่าซื้อคงค้างจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3.4-3.8 พันล้านบาท
  • อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 9%
  • ต้นทุนทางด้านเครดิตจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3% ในขณะที่ผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อจะอยู่ที่ระดับประมาณ 24%
  • รายได้จากธุรกิจโรงแรมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 300-600 ล้านบาท
  • เงินลงทุนต่อปีสำหรับซื้อที่ดินและก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยจะอยู่ที่ระดับ 300-400 ล้านบาท

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและการรีไฟแนนซ์ที่ลดลง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง ทริสเรทติ้งอาจปรับอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นหากรายได้และกระแสเงินสดของบริษัทปรับเพิ่มสูงขึ้นและสถานะทางการเงินของบริษัทไม่ถดถอยลงจากระดับในปัจจุบัน ในทางตรงกันข้าม ทริสเรทติ้งอาจปรับลดอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัท โดยเฉพาะของบริษัทไมด้าลิสซิ่ง นั้นอ่อนแอลงจากระดับในปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ