นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู (BANPU) เปิดเผนว่า หุ้นกู้ของบริษัท กำหนดกำหนดผลตอบแทนหุ้นกู้ที่จะออกและเสนอขายให้กับผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน (Public Offering) จำนวน 3 รุ่น รวมมูลค่าไม่เกิน 10,000 ล้านบาท เป็นจำนวนเสนอขายไม่เกิน 6,000 ล้านบาท และหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมไม่เกิน 4,000 ล้านบาท ประกอบด้วย
รุ่นอายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.26% ต่อปี
รุ่นอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.80% ต่อปี
รุ่นอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.20% ต่อปี
บริษัทจะเสนอขายระหว่างวันที่ 14-16 และ 19 กันยายน 2565 ผ่าน ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารทหารไทยธนชาต และ บล.เกียรตินาคินภัทร
"บริษัทฯและหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2565 ที่ระดับ A+ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" สะท้อนถึงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพลังงานที่พร้อมขยายการเติบโตเพื่อส่งมอบอนาคตพลังงานเพื่อความยั่งยืน (Smarter Energy for Sustainability) ภายใต้การเปลี่ยนผ่านธุรกิจของบริษัทฯ ตามกลยุทธ์ Greener & Smarter รวมถึงความสามารถในการรักษาวินัยทางการเงินและการบริหารกระแสเงินสดไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง" นางสมฤดี กล่าว
บริษัทฯ มั่นใจว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นกู้ทั้ง 3 รุ่น เมื่อพิจารณาร่วมกับอันดับเครดิตหุ้นกู้ที่ระดับ A+ จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ขณะเดียวกัน บริษัทมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง รวมทั้งรับรู้กำไรจากการซื้อธุรกิจก๊าซในสหรัฐฯและธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มเติม โดยไตรมาส 2/65 บริษัทมีกำไรสุทธิ 372 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่า 12,789 ล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้น 786% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/65 โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) รวม 948 ล้านเหรียญสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 59% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/65 ขณะที่ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 682 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 23,053 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 634% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
ทั้งนี้ บ้านปูในฐานะผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ (International Versatile Energy Provider) มุ่งสร้างการเติบโตด้วย 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานใน 10 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย จีน ออสเตรเลีย ลาว มองโกเลีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม