สำหรับในเมียนมา บริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายยา 80% ส่วนอีก 20% ที่เป็นสินค้าอื่น ๆ แม้ว่าการเติบโตจะไม่มากนักจากผลกระทบของการรัฐประหาร แต่บริษัทยังคงสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาได้ตามปกติ และการรับเงินยังอยู่ในภาวะปกติ โดยไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด และเชื่อว่าหากสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติผลประกอบการในเมียนมาก็จะกลับมาเติบโตได้ 25-30% เหมือนกับช่วงก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ บริษัทยังยืนยันเป้าหมายผลักดันผลประกอบการให้มีกำไรเติบโตเพิ่มเป็นเท่าตัว หรือไม่ต่ำกว่า 2,500 ล้านบาทภายในปี 66-68 โดยตลาดในประเทศไทย และเวียดนาม รวมถึงทวีปแอฟริกา เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และบริษัทยังยืนยันว่าจะเดินหน้าเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในปีนี้ได้ตามแผนที่ 26 ผลิตภัณฑ์ โดยในช่วงที่ผ่านมาของปีนี้บริษัทเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ไปแล้ว 9 ผลิตภัณฑ์
"หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้เกิดขึ้น ส่งผลให้เรามาใช้ชีวิตในรูปแบบ new normal และหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น และในขณะเดียวกันเรายังสามารถขยายตลาดในประเทศต่างๆที่เรามีอยู่ แม้ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ทั้งสงคราม รัฐประหาร หรืออื่นๆ เราจึงยังมั่นใจว่าผลประกอบการอาจจะเติบโตกว่าเป้าหมายที่วางไว้กำไรสุทธิ 2,500 ล้าน ในปี 68 ได้"นายวิเวก กล่าว
ส่วนทิศทางผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในระดับไม่ต่ำกว่า 5% แต่อย่างไรก็ตามการเติบโตอาจจะน้อยกว่าในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากผลกระทบจากราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น กระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนบางส่วน แม้ว่าอาจจะไม่มากเท่ากับกลุ่มสินค้าอื่นๆก็ตาม