นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บลูบิค กรุ๊ป (BBIK) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปี 66 จะเห็นความชัดเจนในการปิดดีล M&A ธุรกิจพัฒนาแพลตฟอร์มในประเทศไทยอย่างน้อย 1 ดีล ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลที่บริษัทสนใจ โดยจะใช้เงินลงทุนในหลักร้อยล้านบาท
และอีกหนึ่งกลุ่มเทคโนโลยีเป้าหมายที่บริษัทต้องการเข้าไปควบรวมกิจการ คือ ธุรกิจด้านที่ปรึกษาการทำ Digital Transformation และการพัฒนาด้านระบบ Delivery ซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่จะสร้างโอกาสใหม่ๆ เข้ามาให้กับบริษัทได้อีกมากมาย
นายพชร กล่าวว่า การควบรวมหรือซื้อกิจการเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญที่จะสามารถช่วยให้บริษัทมีการเติบโตอย้างก้าวกระโดดได้ และช่วยให้บริษัทมีบริการด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลที่ครอบคลุม โดยบริษัทได้เจรจากับธุรกิจเทคโนโลยีและดิจิทัลหลายราย ทั้งการเข้าควบรวมกิจการและการร่วมทุน ซึ่งจัดเตรียมวงเงินลงทุนรองรับจากเงิน IPO ที่เหลืออยู่ราว 300 ล้านบาท
"การ M&A จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เราสามารถโตอย่างก้าวกระโดดได้ และในอีก 3 ปี เราคาดว่ารายได้จะเติบโต 3.8 เท่า จากปีนี้ราว 500 ล้านบาทได้ ซึ่งตอนนี้สิ่งที่เราต้องทำ คือ ทำให้บริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากที่นักลงทุนและผู้ถือหุ้นได้ให้ความคาดหวังกับบริษัทเรา ทำให้เราต้องขยายงานให้ได้มากกว่าที่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนคาดหวัง"นายพชร กล่าว
บริษัทเดินหน้าในการรุกตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เพื่อเปิดโอกบสในการขยายงานในการรับงานที่เกี่ยวข้องกับ Digital Transformation ของกลุ่มลูกค้าในต่างประเทศ ซึ่งช่วยสร้างโอกบสไนการผลักดันการเติบโตให้กับผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างก้าวกระโดดในอนาคต และก้าวขึ้นการเป็นบริษัทเทคโนโลยีในระดับโลก
ช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้จัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศอังกฤษ เพื่อเป็นการรองรับการเข้ารับงานบริการและที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลให้กับลูกค้าในยุโรปที่ยังเป็นกลุ่มประเทศที่มีความต้องการในการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพในด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลในองค์กรเป็นจำนวนมาก ทำให้บริษัทสามารถเข้าไปคว้าโอกาสในการรับงานเข้ามาเสริมรายได้และเป็นการสร้างฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มประเทศยุโรปให้รู้จัก BBIK มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันได้รับงานในอังกฤษมาแล้วราว 40 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ และจะทำให้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศของบริษัทเพิ่มเป็น 15-20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 10-15%
ขณะเดียวกันบริษัทยังมองเห็นโอกาสรุกตลาดในอาเซียนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเวียดนาม ที่บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสในเรื่องความต้องการในการพัฒนาระบบดิจิทัลของผู้ประกอบการต่างๆ และศึกษาภาวะการแข่งขันของบริษัทเทคโนโลยีในเวียดนาม หากมีโอกาสที่ดีก็จะเข้าไปจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อรับงานในเวียดนามโดยตรง รวมถึงการขยายในตลาดยุโรปโซนอื่นๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะโซนยุโรปตะวันออกที่บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาและมีความสนใจเข้าไปจัดตั้งบริษัทย่อย
นายพชร เปิดเผยอีกว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการปีนี้จะเติบโตอย่างโดดเด่นไม่ต่ำกว่า 70% โดยมีมูลค่างานในมือ (Backlog) แล้ว 448 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ 226 ล้านบาท ขณะที่ 6 เดือนแรกของปีบริษัทมีรายได้รวม 243.19 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 62 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 126.9 ล้านบาท หรือเติบโต 92% และมีกำไรสุทธิ 30 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 105% โดยมีสัดส่วนการรับรู้รายได้แบบประจำ (Recurring Income) ราว 46% ของรายได้รวม ขณะที่ผลประกอบการในด้านรายได้ของปี 64 อยู่ที่ 303 ล้านบาท
สำหรับการนำ BBIK ย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) บริษัทมีแผนย้ายเข้า SET ในช่วง 3 ปีนี้ แต่ขณะนี้ยังติดเกณฑ์ทุนจดทะเบียนที่ยังน้อยกว่าเกณฑ์ของ SET ที่จะต้องมีขั้นต่ำ 300 ล้านบาท แต่ BBIK มีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 50 ล้านบาท แม้ว่ากำไร และ Market cap จะเป็นไปตามเกณฑ์แล้วก็ตาม ดังนั้น บริษัทจะหาแนวทางย้ายเข้า SET ต่อไป