นางวนิดา บุญภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการเงินและบัญชี บมจ.ไทยออยล์ (TOP) กล่าวว่า บริษัทคาดว่าจะกำหนดราคาสุดท้ายในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนได้ในวันที่ 20 ก.ย.นี้ จากช่วงราคาที่ 52-54 บาท/หุ้น โดยจะประกาศบนหน้าเว็บไซต์ของบริษัทและแจ้งต่อตลาดหลัหทรัพย์ฯ
บริษัทคาดจะได้รับเงินเข้ามาราว 11,500 ล้านบาท โดยจะนำเงินส่วนหนึ่งไปชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น (Bridging Loan) จากการเข้าลงทุนธุรกิจโอเลฟินใน CAP ซึ่งจะช่วยลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (D/E) ให้น้อยกว่า 1 เท่า และรักษาอันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิต (Credit rating) ให้อยู่ในเกณฑ์กลุ่มระดับลงทุน (Investment grade) ทำให้โครงสร้างเงินทุนแข็งแกร่งและคล่องตัวมากขึ้น รวมถึงคาดว่าจะช่วยลดดอกเบี้ยจ่ายให้กับบริษัทลงได้ประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี
สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้ถือหุ้น (Dilution Effect) ภายหลังจากการเพิ่มทุนจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 2-3% โดยหุ้นเพิ่มทุนที่ออกมาใหม่นั้นมีสัดส่วนแค่ 9.5-9.8% ของหุ้นเดิมของ TOP อีกทั้งมั่นใจว่าการเพิ่มทุนของ TOP ในครั้งนี้จะได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุน พร้อมคาดว่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ภายในช่วงเดือน ก.ย.นี้
นายธนิก ธราวิศิษฏ์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking and Capital Markets ธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และตัวแทน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า แผนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) กำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นที่ 52-54 บาทต่อหุ้น
บริษัทจะจัดสรรเพื่อเสนอขายแก่ประชาชน จำนวนไม่เกิน 192,307,693 หุ้น ซึ่งรวมจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมไม่ต่ำกว่า 80% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่เสนอขายครั้งนี้ และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment Shares) คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 15% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่เสนอขายครั้งนี้ โดยไทยออยล์จะพิจารณาการจัดสรรให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ และแผนการปรับโครงสร้างเงินทุนของไทยออยล์
สำหรับผู้ถือหุ้นเดิมที่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้น สามารถจองซื้อตามสิทธิที่ได้รับจัดสรร หรือเกินกว่าสิทธิที่ได้รับจัดสรร (ไม่กำหนดจำนวนจองซื้อสูงสุด) หรือน้อยกว่าสิทธิที่ได้รับจัดสรรก็ได้ ผ่านช่องทางออนไลน์ที่ https://ero.scbs.com หรือ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ในฐานะตัวแทนรับจองซื้อหุ้น ตั้งแต่ 9-16 ก.ย.นี้
ส่วนผู้ลงทุนทั่วไปสามารถจองซื้อผ่านผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ประกอบด้วย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์, บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) , บล.บัวหลวง, บล.ฟินันเซีย ไซรัส และ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งแต่ 9-16 ก.ย.นี้ ซึ่งโครงสร้างการเพิ่มทุนได้พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่สำคัญ ทั้งสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม การเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่บางส่วนได้ร่วมลงทุน และการดำเนินธุรกิจของไทยออยล์ที่มีข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันหลายด้าน
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ TOP เปิดเผยว่า ไทยออยล์ได้วางกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเป็นผู้นำด้านพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นหนึ่งในโรงกลั่นที่มีศักยภาพมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญเพื่อสร้างการเติบโตครั้งใหม่ (New Round of Growth) ด้วยการต่อยอดไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง พร้อมขยายฐานลูกค้าไปยังภูมิภาคที่มีการเติบโตสูง เน้นการลงทุนในธุรกิจปลายน้ำซึ่งมีอัตรากำไรสูงรวมถึงธุรกิจใหม่ที่เป็น New S-Curve
ปัจจุบันโครงการสำคัญที่ดำเนินการอยู่ ได้แก่ การลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) เพื่อเพิ่มกำลังการกลั่นเป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน จาก 275,000 บาร์เรลต่อวัน สามารถรับน้ำมันดิบชนิดหนักได้มากขึ้น ตลอดจนเพิ่มคุณค่าผลิตภัณฑ์โดยเปลี่ยนน้ำมันเตาเป็นน้ำมันอากาศยานและน้ำมันดีเซล ส่งผลให้มีส่วนต่างกำไร (Margin) สูงขึ้นพัฒนาประสิทธิภาพโรงกลั่นไทยออยล์ให้อยู่ในระดับ 1st Quartile ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยคาดว่าจะสามารถทยอยเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 67 และเดินเครื่องผลิตได้เต็มรูปแบบในปี 68
การลงทุนธุรกิจโอเลฟินใน PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) ผู้ผลิตปิโตรเคมีรายใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย ซึ่งตอบโจทย์การทรานฟอร์มสู่ธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน พร้อมเปิดโอกาสการลงทุนธุรกิจอื่น ๆ ในตลาดที่มีศักยภาพ ปัจจุบัน CAP มีกำลังการผลิตรวม 4.23 ล้านตันต่อปี และอยู่ระหว่างพิจารณาการลงทุนโครงการ CAP2 ภายในปีนี้ เพื่อขยายกำลังการผลิตอีกเท่าตัวเป็น 8.10 ล้านตันต่อปี โดยหากตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติม คาดว่าจะเริ่ม COD ตามแผนได้ในปี 69
นอกจากนั้น ไทยออยล์ยังแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ ผ่านรูปแบบ Step Out Business และร่วมลงทุนใน CVC (Corporate Venture Capital) เน้นกลุ่มเมกะเทรนด์แห่งอนาคต ซึ่งช่วยสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน"
ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิ.ย.65 TOP มีสินทรัพย์รวม 443,278 ล้านบาท มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 40,795 ล้านบาท และ D/E อยู่ที่ 1 เท่า