นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น (SUPER) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะสามารถปิดดีลขายหุ้น 49% ของ SOLAR NT HOLDINGS PTE. LTD. (Solar NT) ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามให้กับ AC ENERGY VIETNAM INVESTMENTS PTE. LTD. (ACEV) บริษัทลงทุนชั้นนำทางด้านธุรกิจพลังงานทดแทนที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ได้ภายในเดือน พ.ย.นี้ โดยจะรับรู้รายได้เข้ามาราว 5,490 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทวางงบลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ราว 24,000 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งจะมาจากเงินที่ได้จากการขายหุ้นโซลาร์ฟาร์มในเวียดนาม 5,490 ล้านบาท รวมกับเงินทุนหมุนเวียน 25% และเงินกู้จากสถาบันการเงิน อีก 25% ซึ่งจะนำมารองรับแผนงานการเข้าประมูลงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สำหรับในประเทศไทย ทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะประกาศแผน PDP ฉบับใหม่ ซึ่งจะรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานลม ราว 1,500 เมกะวัตต์, ไบโอแก๊ส ประมาณ 335 เมกะวัตต์, พลังงานแสงอาทิตย์ติดแบตเตอรี่ อีก 1,000 เมกะวัตต์ และพลังงานแสงอาทิตย์อย่างเดียวอีก 2,368 เมกะวัตต์ รวมทั้งสิ้นกว่า 5,000 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งราว 7,700 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะเริ่มทยอยเปิดรับข้อเสนอบางส่วนได้ในช่วงเดือนพ.ย.นี้
ขณะที่ในเวียดนาม คาดว่าจะมีการประกาศแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติฉบับที่ 8 PDP8 ออกมาได้ในช่วงปลายเดือน ก.ย.นี้ หรือต้นเดือน ต.ค.65 แบ่งเป็น พลังงานลมบนชายฝั่ง (Onshore) จะเพิ่มอีก 15,582 เมกะวัตต์ และพลังงานลมนอกชายฝั่ง (Offshore) เพิ่มอีก 7,000 เมกะวัตต์
นายจอมทรัพย์ ยังกล่าวถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลังนี้ว่า จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากปริมาณการผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นจากโครงการโรงไฟฟ้าในมือทั้งในและต่างประเทศที่รับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะทยอยเปิด COD จะช่วยสนับสนุนการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าลังงานหมุนเวียนรูปแบบ SPP Hybrid ขนาด 16 เมกะวัตต์, โครงการโซลาร์รูฟท็อฟสัญญาเอกชน (Private PPA) เพื่อขายไฟให้มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา ขนาด 14 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลม (วินด์ฟาร์ม) ในประเทศ
ส่วนโรงไฟฟ้าเวียดนาม ขนาด 30 เมกะวัตต์ ซึ่งก่อสร้างเสร็จแล้วและพร้อม COD รวมทั้งโครงการโรงไฟฟ้าจากขยะ จังหวัดหนองคาย ขนาด 6 เมกะวัตต์ คาดว่าจะ COD ในช่วงไตรมาส 4/65
พร้อมกันนี้บริษัทคาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตจากปีก่อน หรือมาอยู่ที่ 9,588 ล้านบาท (ไม่รวมดีล ACEV) เป็นไปตามกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เปิดดำเนินงานแล้ว 1,586.32 เมกะวัตต์ และสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 1,652 เมกะวัตต์ ขณะที่บริษัทวางเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าในมือเป็น 2,000-2,500 เมกะวัตต์ในปี 67