XO รับตลาดยุโรปหดกระทบยอดขายปี 65 พลาดเป้า เร่งขยายตลาดใหม่-จ่อขึ้นราคาขาย

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday September 9, 2022 13:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็กโซติค ฟู้ด (XO) เปิดเผยว่า บริษัทยอมรับว่าแนวโน้มยอดขายในปี 65 จะหดตัวลงจากเดิมที่บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโตไว้ที่ 10-15% โดยได้รับผลกระทบจากกลุ่มลูกค้าในตลาดหลักของบริษัท คือ กลุ่มลูกค้าในยุโรปที่มีสัดส่วนยอดขายกว่า 80% มียอดขายหดตัวลงตามภาพรวมเศรษฐกิจของยุโรป ทำให้การสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ซอสพริกหดตัวลงตาม และส่งผลกระทบมาถึงยอดขายรวมในปีนี้ที่จะหดตัวลงด้วยเช่นกัน

บริษัทมองว่าตลาดการบริโภคในยุโรปได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซียและยูเครน รวมถึงเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น จากราคาสินค้าและราคาพลังงานที่สูง ส่งผลให้ค่าครองชีพในกลุ่มประเทศยุโรปปรับตัวสูงขึ้นมาก และทำให้ผู้คนในยุโรปชะลอการบริโภค ซึ่งเป็นผลให้การขายสินค้าบางประเภทหดตัวลง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเครื่องปรุงรสนำเข้า ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบตั้งแต่ช่วงก่อนหน้านี้ต่อเนื่องมาในไตรมาส 3/65 ที่คาดว่ายอดขายรวมจะยังเห็นการชะลอตัวลงจากไตรมาส 2/65 และช่วงเดียวกันของปีก่อน

"ยอดขายซอสพริกของเราค่อนข้างสวนทางกับตลาดที่เติบโต ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเจ้าอื่นเขาไปขายในตลาดไหนถึงทำให้ภาพรวมตลาดซอสพริกเติบโตได้ แต่สิ่งที่เราเจอคือลูกค้าหลักในยุโรปยอดขายเขาลดลง ทำให้เขาชะลอการสั่งซื้อซอสจากเรา ส่งผลให้ยอดขายเราในปีนี้จะหดตัวลง และไม่เป็นไปตามเป้า แต่ปีหน้าเราก็ยังจะตั้งเป้ายอดขายโต 10-15% เหมือนเดิม" นายจิตติพร กล่าว

สำหรับกลยุทธ์ของบริษัทในการช่วยผลักดันยอดขายนั้น จะเป็นการมองหาตลาดใหม่ๆที่มีศักยภาพ เพื่อเข้ามาชดเชยตลาดหลักที่ชะลอตัว โดยที่ได้เริ่มมีการขยายการส่งออกสินค้าไปยังตลากใหม่ในสหรัฐฯ แคนาดา และประเทศในอเมริกาใต้ ซึ่งยังเห็นการบริโภคที่เติบโตขึ้นมาต่อหมเนื่องหล่อจากโควิด-19 และมีความนิยมซอสพริก และซอสปรุรงรสอื่นๆ ซึ่งเป็นสินค้าที่บริษัทจำหน่าย ซึ่งคาดหวังจะผลักดันยอดขายจากประเทศใหม่ๆที่รุกขยายไปให้เป็น 2% ในปีนี้

ส่วนต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น ปัจจุบันบริษัทยังคงราคาขายไว้เท่าเดิม แต่ในปี 66 บริษัทจะมีการปรับขึ้นราคาขายกับลูกค้า ซึ่งได้เริ่มทยอยแจ้งให้กับลูกค้าได้ทราบแล้ว เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจในสถานการณ์ของต้นทุนการผลิตของบริษัทที่ปรับสูงขึ้น และพร้อมในการพิจารณาสั่งซื้อสินค้ากับบริษัท ซึ่งจะเป็นการช่วยให้บริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ระดับ 40% ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ทำให้บริษัทจำเป็นต้นปรับเพิ่มราคาขายในปี 66


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ