นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) เปิดเผยว่า บริษัทสรุปยอดการเสนอขายหุ้นกู้ให้กับนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ จำนวน 2 ชุด รวมมูลค่าไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 5-7 กันยายนที่ผ่านมา ปรากฎว่ามีผู้จองซื้อหุ้นกู้มากกว่าจำนวนที่เสนอขายา 2,000 ล้านบาท บริษัทจึงนำหุ้นกู้สำรองมาเสนอขายเพิ่มเติมอีก 814.30 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าการออกหุ้นกู้ทั้งสิ้น 2,814.30 ล้านบาท
ทั้งนี้ การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2565 ของบริษัทแบ่งออกเป็น 2 ชุด คือ
หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.65% ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2570 จำนวน 1,161.50 ล้านบาท
หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 6.40% ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2572 จำนวน 1,652.80 ล้านบาท
หุ้นกู้ทั้ง 2 ชุด จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้
ผลการขายหุ้นกู้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนที่มีต่อฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของ NER ที่ยังคงสามารถเติบโตได้ ทั้งนี้เป็นผลมาจากแผนการขยายธุรกิจที่มีความต่อเนื่องและชัดเจน ความมุ่งมั่นในการบริหารงาน ปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และการบริหารจัดการฐานะทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการซื้อวัตถุดิบ และ/หรือสต๊อกสินค้าคงเหลือของบริษัท ซึ่งจะทำให้บริษัทจะมีแหล่งเงินทุนที่จะใช้ในการดำเนินธุรกิจได้เป็นอย่างดี
บริษัทได้รับการจัดอันดับเครดิตขององค์กรอยู่ที่ระดับ "BBB-" แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2565 โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ
นายชูวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2565 บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท จากราคายางพาราที่ปรับขึ้น นอกจากนี้ยอดส่งออกสินค้ามีความคล่องตัวดีขึ้น จากสถานการณ์ตู้คอนเทนเนอร์ที่ดีขึ้น ประกอบกับมีปริมาณออเดอร์ใหม่ๆเพิ่มขึ้น จากลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น อาทิ อินเดีย ,ฮ่องกง, สิงคโปร์ และจีน เป็นต้น ด้านแผ่นปูรองปศุสัตว์ปัจจุบันได้ติดตั้งเครื่องจักรและเริ่มการผลิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้แก่บริษัท เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง โดยมองว่าความต้องการแผ่นปูรองนอนปศุสัตว์ในอุตสาหกรรมยังดีต่อเนื่อง
นอกจากนี้ปลายปี 2566 คาดว่าจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยอยู่ระหว่างการพัฒนาสินค้า ซึ่งจะทำให้ยอดขายสินค้าปลายน้ำเติบโตมากขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้ ทั้งนี้ บริษัทฯจะมุ่งมั่นดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ควบคู่กับการบริหารงานเชิงรุก เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป