สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 65 คาดว่าจะเห็นการเติบโตของรายได้อย่างเด่นชัด และผลการดำเนินงานคาดว่าจะพลิกกลับมามีกำไรได้ในช่วงไตรมาส 3/65 จากการทยอยโอนโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถทำรายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3.4 พันล้านบาท
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีการปรับโครงสร้างธุรกิจ พัฒนาการบริการหลังการขาย ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ เสริมฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงเตรียมความพร้อมต่างๆภายในองค์กรควบคู่กับการวิจัยศึกษาตลาดและพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมาย ให้เข้าใจความต้องการของลูกค้า ส่งผลให้การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับบนอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ในช่วงเดือนก.ย.นี้ บริษัทยังได้เปิดโครงการใหม่ คือ โครงการเวหา (VEHHA) มูลค่า 2.29 พันล้านบาท และจะเริ่มก่อสร้างภายในไตรมาส 4/65 และคาดว่าจะสร้างเสร็จและรับรู้รายได้เข้ามาภายในปี 68 รวมถึงการรุกตลาดบ้านแนวราบ โดยเปิดโครงการวี อารีย์ (VI ARI) มูลค่า 507 ล้านบาท ราคาขาย 70 ล้านบาท/หลัง ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4/65 และคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาภายในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า อีกทั้งยังมีแผนเปิดคอนโดมิเนียมอีก 1 โครงการ ในกรุงเทพฯ ย่านคอนแวนต์ มูลค่า 3.9 พันล้านบาท ที่จะรองรับรายได้เข้ามาในปี 69
นายภูมิพัฒน์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 65 คาดว่าจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรได้ และคาดว่าจะสามารถล้างขาดทุนสะสมได้หมดภายในปีนี้ ทำให้ในปี 66 บริษัทจะสามารถประกาศการจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 65 ให้กับผู้ถือหุ้นได้ และการที่บริษัทสามารถล้างขาดทุนสะสมได้แล้ว ทำให้บริษัทสามารถนำเงินที่ได้จากการดำเนินงานมาชำนะคืนหนี้บางส่วนกับสถาบันการเงิน ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทลดลงมาที่ 1 เท่า จากปัจจุบันที่ 2 เท่า ทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง และเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้กับบริษัทมากขึ้น
นอกจากนี้ในส่วนของการบริหารจัดการต้นทุนของบริษัทยังคงมีการควบคุมและบริหารอย้างมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง โดยเฉพาะต้นทุนการก่อสร้างที่มีการล็อกราคาต้นทุนกับผู้รับเหมาในช่วงที่เริ่มรับงาน และปัจจุบันมองว่าราคาต้นทุนก่อสร้างเริ่มเห็นการทยอยปรับลดลงมาตามราคาน้ำมัน และราคาเหล็กที่ปรับลดลง ทำให้แรงกดดันจากราคาต้นทุนก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นไม่กระทบต่อต้นทุนโครงการของบริษัท และในช่วงภาวะเงินเฟ้อที่สูงมองว่าจะเป็นช่วงที่คนมองหาซื้ออสังหาริมทรัพย์ ที่จะเป็นสินทรัพย์หนึ่งที่สามารถสร้างมูลค่าและผลตอบแทนได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายภูมิพัฒน์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าภายในปี 69 จะมีรายได้ขึ้นไปแตะ 1.5 หมื่นล้านบาท จากการทยอยโอนโครงการของบริษัทที่เปิดขายอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการที่เปิดขายแล้ว และโครงการที่เตรียมเปิดขายในอนาคต ซึ่งจะเข้ามาเป็นปัจจัยในการผลักดันการเติบโตของรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทที่ตั้งไว้ โดยที่ปัจจุบันโครงการที่บริศัทเปิดขายไปแล้วและจะทยอยเปิดขายในช่วงที่เหลือเองปีนี้ สามารถรองรับรายได้ให้กับบริษัทได้ถึงไตรมาส 1/69 โดยที่มีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 3.4 พันล้านบาท
โดยการพัฒนาโครงการใหม่ๆของบริศัทหลังจากนี้จะเริ่มหันมากระจายสัดส่วนไปสู่โครงการแนวราบมากขึ้น ซึ่งเป็นโครงการที่ยังเหึนความต้องการศื้งในตลาดที่ดีต่อเนื่อง และทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้เข้ามาได้เร็ว แต่ยังคงมีการพัฒนาโครงการแนวสูงที่ควบคู่กัน เพราะเป็นโครงการที่บริษัทมีความชำนาญ และสามารถรองรับรายได้ในอนาคต ประกอบการทำเลในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทจะเข้ามาพัฒนาในกรุงเทพฯ ที่เป็นทำเลในเมือง CBD มากขึ้น เพราะเป็นทำเลที่เหมาะกับการพัฒนาโคบงการระดับลักชัวรี่ และมีความต้งองการซื้อของลูกค้าระดับบนอยู่มาก