ประกอบกับอัตราการเข้าพัก (OCC) ของโรงแรมในยุโรปของบริษัทฯ ในช่วง 2 เดือนข้างหน้า เฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเกินระดับ 70% จากปัจจุบันอยู่ที่ 60-70% โดยได้ปัจจัยหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในยุโรปมากขึ้น ทั้งการสันทนาการ รื่นเริง และเริ่มเห็นการเข้ามาท่องเที่ยวในเชิงธุรกิจ เช่น การจัดสัมมนา การออกอีเว้นท์ต่างๆ มากขึ้นด้วย รวมถึงการเพิ่มไฟล์บิน หรือ long haul flight ของสายการบินก็เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าโรงแรมในยุโรปก็มีการปรับกลยุทธ์รับนักท่องเที่ยวเป็นกรุ๊ปทัวร์มากขึ้น จากเดิมเน้นนักท่องเที่ยวที่เที่ยวเป็นคู่ๆ
ทั้งนี้บริษัทฯ มีการปรับปรุงโรงแรม (รีโนเวท) เพื่อเพิ่มราคาห้องพัก (Room Rate) ให้สูงขึ้นไปอีกหรือเฉลี่ย 140 ยูโรต่อห้อง ส่งผลให้มาร์จิ้นปรับตัวดีขึ้น สามารถชดเชยกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมาได้ อีกทั้งโลเคชั่นโรงแรมในยุโรปของบริษัทฯ ก็อยู่ใจกลางเมือง เป็นโลเคชั่นที่ดีที่สุด ที่นักเดินทางจะต้องเข้ามาพัก
"เรายืนยันว่า สามารถรับมือกับวิกฤตพลังงานในยุโรปได้ เนื่องจากต้นทุนพลังงานของเราคิดเป็นสัดส่วนเพียง 3-4% ของรายได้รวมเท่านั้น ขณะที่ข่าวการ downgrade ของโบรกเกอร์ต่างประเทศนั้น มองว่ามีความกังวลมากเกินไป ซึ่งบริษัทฯ ได้เตรียมการรับมือเอาล่วงหน้าแล้ว และรายได้ธุรกิจโรงแรมยังเติบโตดีอยู่" นายชัยพัฒน์ กล่าว
พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังมั่นใจว่าปีนี้จะสามารถมีกำไรสุทธิได้ หลังไตรมาส 2/65 พลิกกลับมามีกำไรสุทธิแล้ว ที่ 1,211 ล้านบาท และคาดว่าแนวโน้มครึ่งปีหลังนี้ก็จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก จากปัจจัยที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น รวมถึงปี 66 จะเติบโตได้ต่อเนื่อง