นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง (BLS) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังปรับฐานจากความวิตกกังวลในหลากหลายปัจจัย เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และประเทศอื่น ๆ, อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และความกังวลภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย เราแนะนำให้ผู้ลงทุนมือใหม่หรือผู้ที่กำลังเริ่มต้นลงทุนใช้โอกาสนี้ในการเริ่มต้น "ออมหุ้น" เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว ผ่านการลงทุนใน "กองทุนรวม ETF ที่มีนโยบายลงทุนอ้างอิงดัชนีในประเทศ" และ "ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR) ที่อ้างอิงกองทุน ETF ในต่างประเทศ" ซึ่งการลงทุนในสินทรัพย์เพื่อการลงทุนดังกล่าวเหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการลงทุนในระยะยาว
"นโยบายการเงินที่เข้มงวดจากการปรับขึ้นอัตราเงินเฟ้อได้ดำเนินไปจนใกล้สุดทาง เราคาดว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดไปแล้วและกำลังชะลอตัวลงต่อเนื่องไปสู่ปี 2566 ดังนั้นมูลค่าหุ้นที่ซื้อขายในปัจจุบันได้สะท้อนสถานการณ์ไปมากและน่าจะอยู่ในโซนใกล้ต่ำสุด สังเกตจากค่า P/E ของหลายตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ท่ามกลางความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยที่คาดว่าไม่รุนแรงมาก" นายชัยพร กล่าว
สำหรับ DR ที่ผู้ลงทุนมือใหม่ควรเริ่มมีติดพอร์ตในช่วงตลาดหุ้นปรับฐาน เราแนะนำให้ลงทุนใน
1. DR "E1VFVN3001" ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นกองทุนรวม ETF อ้างอิงดัชนี VN30 สะท้อนหุ้นชั้นนำ 30 บริษัทขนาดใหญ่สภาพคล่องสูงในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ที่หลักทรัพย์บัวหลวงเป็นผู้ออกเจ้าแรกของไทยเมื่อปลายปี 2561 เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศเวียดนามยังคงเติบโตแข็งแกร่ง โดยในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 GDP ขยายตัวกว่า 7% และคาดการณ์ว่าในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า GDP ของเวียดนามจะเติบโตประมาณ 6-7% จากเม็ดเงินลงทุนโดยตรง (Foreign Direct Investment) ที่ไหลเข้าประเทศอย่างต่อเนื่องทำให้การส่งออกเติบโตแบบก้าวกระโดด
2. DR "DIAMOND" ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ "FUEVFVND01" ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น DCVFMVN DIAMOND ETF (FUEVFVND) ที่ลงทุนอ้างอิงดัชนี VN DIAMOND ของตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม โดยมีความแตกต่างจากดัชนี VN30 คือ เกณฑ์ในการปรับหุ้นเข้าดัชนี VN DIAMOND จะเป็นหุ้นที่อัตราส่วน Foreign Ownership Limitation (FOL) อย่างน้อย 95% นั่นหมายถึงหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจและถือในสัดส่วนมาก ขณะที่ดัชนี VN30 ไม่มีการกำหนด ซึ่งมูลค่าตลาดของหุ้นที่ซ้ำกันในดัชนี VN30 และ VN DIAMOND มีสัดส่วนเพียง 27% จึงเหมาะสำหรับลงทุนควบคู่เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยผลตอบแทนของดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามย้อนหลัง 10 ปีเฉลี่ยอยู่ที่ราว 18% ต่อปี
3. DR "CNTECH01" อ้างอิง ChinaAMC Hang Seng TECH ETF (3088.HK) ที่ลงทุนหุ้นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกของจีนและฮ่องกงกว่า 30 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง โดยหุ้นในดัชนี Hang Seng TECH ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคโนโลยีที่เติบโตไปกับธีม New Economy ซึ่งเป็นที่รู้จักในระดับสากล เช่น หุ้นกลุ่ม ATMX ที่ประกอบไปด้วย Alibaba, Tencent, Meituan และ Xiaomi เป็นต้น เหตุผลที่แนะนำทยอยสะสมในช่วงนี้เนื่องจากราคาหุ้นเทคโนโลยีของจีนได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยอนาคตยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี ซึ่งสนับสนุนโดยนโยบายภาครัฐจีนจากเดิมที่เข้มงวดเรื่องการเติบโตเศรษฐกิจที่เสมอภาค
4. DR "NDX01" มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นกองทุนอีทีเอฟ ChinaAMC NASDAQ 100 ที่ลงทุนในดัชนี NASDAQ 100 ประกอบด้วยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก 100 บริษัทแรกในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ สหรัฐอเมริกา ซึ่งยังคงเป็นหุ้นใน Mega trend การเปลี่ยนแปลงธุรกิจของโลกในทศวรรษหน้า โดยปัจจุบันดัชนี Nasdaq 100 ได้ปรับตัวลดลงมากว่า 23.72% นับตั้งแต่ต้นปี 2565 (ข้อมูล ณ วันที่ 9 ก.ย. 2565) ในขณะที่ Bloomberg Consensus คาดว่า กำไรต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังเติบโตได้ประมาณ 18.3% ในปี 2565 โดยผลตอบแทนของดัชนี NASDAQ 100 ย้อนหลัง 10 ปีเฉลี่ยอยู่ที่ราว 16% ต่อปี
ส่วนกองทุนรวม ETF ที่ลงทุนในหุ้นไทย เราแนะนำลงทุนใน "กองทุนเปิด BCAP SET100 ETF" หรือ BSET100 ซึ่งกองทุนดังกล่าวมีนโยบายการลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องการซื้อขายสูง 100 อันดับแรกในตลาดหุ้นไทย เหมาะสำหรับผู้ลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวที่ต้องการผลตอบแทนใกล้เคียงผลตอบแทนของ SET100 โดยในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 12% ต่อปี
"สำหรับผู้ลงทุนมือใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นออมหุ้นเวลานี้ถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุนก่อนที่ราคาจะปรับตัวขึ้นเมื่อตลาดฟื้นตัว ซึ่งการออมหุ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนทบต้น ด้วย DR และ ETF ในภาวะตลาดขาลงจะทำให้ผู้ลงทุนได้จำนวนหน่วยที่มากขึ้นเมื่อตลาดปรับตัวขึ้น ซึ่งจำนวนหน่วยที่มากขึ้นก็จะสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นเช่นกัน" นายชัยพร กล่าว