บทวิเคราะห์จาก บล.พาย (Pi) ประเมินกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ทั้งสัปดาห์ 1,600-1,640 เชิงกลยุทธ์การลงทุนคงคำแนะนำทยอยลดพอร์ตเช่นเดิม ข้างหน้ายังเต็มไปด้วยความเสี่ยง
ทั้งนี้ ตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันศุกร์ปรับตัวลง 0.45% หลักๆแล้วนักลงทุนยังคงกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบ BRT ปรับขึ้นเล็กน้อย 0.6% หลักๆเป็นเพียงแรงเก็งกำไรปกติ โดยที่ไม่ได้มีข่าวสารใดๆที่มีนัย มองเป็นบวกอ่อนๆต่อหุ้นพลังงาน (PTTEP)
สัปดาห์นี้ ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญ ได้แก่ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะทราบผลอย่างเป็นทางการช่วงเช้าตามเวลาประเทศไทยในวันพฤหัสบดี ในแง่ดอกเบี้ยหากอิงข้อมูลจาก CME FED Watch ให้น้ำหนักส่วนมากด้วยความน่าจะเป็น 82% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% และอีก 18% ให้น้ำหนักขึ้นดอกเบี้ย 1% ดังนั้น เท่ากับว่าปัจจุบันตลาดกำลัง Price In ดอกเบี้ยการประชุมสิ้นเดือนนี้ที่ 0.75% แต่หากปรับขึ้นดอกเบี้ยถึง 1% ตลาดหุ้นก็จะมีความเสี่ยงจะปรับฐาน
นอกจากปัจจัยเรื่องดอกเบี้ยแล้วที่ต้องติดตามเพิ่มเติมคือประมาณการเศรษฐกิจ ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ รวมถึงสิ่งสำคัญอย่างถ้อยแถลงของประธานเฟด หากยังคงแสดงถึงความกังวลเงินเฟ้อและส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยสูงต่อเนื่องก็มองเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้น
โดยสรุปเรามองผลประชุมเฟดเป็นกลางหรือเป็นลบกับตลาดหุ้นมากกว่าจะเป็นบวก ส่วนผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด เรายังคงมองทิศทาง Dollar มีทิศทางแข็งค่าต่อเนื่องแต่จะส่งผลเชิงลบกับค่าเงินบาทที่คาดจะยังอ่อนค่าต่อเนื่อง ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อกระแสเงินทุนต่างชาติ โดยช่วง YTD ข้อมูล NVDR ระบุว่าหุ้นที่มีมูลค่าการซื้ออันดับต้นๆได้แก่ (PTTEP BDMS BH AOT KBANK TOP) มองเป็นชุดหุ้นที่เสี่ยงถูกขายทำกำไรออกมา
ปัจจัยอื่นๆ จะเน้นไปที่ (1) วันอังคาร ยอดสร้างบ้านใหม่ของสหรัฐฯและใบขออนุญาตก่อสร้าง Bloomberg คาดที่ 1.45 ล้านหลังคาเรือน , 1.6 ล้านใบอนุญาต หากเร่งแรงกว่าคาดจะเป็นลบกับตลาดหุ้นจากความกังวลเงินเฟ้อ (2) วันพุธ ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯ Bloomberg คาดที่ 4.69 ล้านหลังคาเรือน
ส่วนไทยจะมีรายงานการค้าระหว่างประเทศ ตลาดคาด ส่งออกขยายตัว 7.7%YoY นำเข้าขยายตัว 18%YoY และดุลการค้าติดลบ 3 พันล้านเหรียญ มองเป็นปัจจัยกดดันบาทอ่อนต่อเนื่อง
สำหรับสัปดาห์นี้หุ้นแนะนำระยะสั้นยังเน้นที่ Defensive อาทิ โรงพยาบาล (BCH CHG) สื่อสาร (ADVANC) รวมถึงหุ้นที่อิงในประเทศ อาทิ ค้าปลีก (BJC CRC CPALL DOHOME) ขนส่ง (BTS BEM) ร้านอาหาร (M) ท่องเที่ยว (MINT)
BJC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 40.00 บาท) คาดกำไร Q3/65 ฟื้นตัว YoY หนุนจาก 1) กำไรธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง (SSSG +5%YoY ในเดือน ก.ค.65) และ 2) กำไรธุรกิจบรรจุภัณฑ์และอุปโภคบริโภคที่ฟื้นตัวขึ้น จากต้นทุนที่ลดลง
BCH (ถือ / ราคาเป้าหมาย 21.00 บาท)โรงพยาบาลใหม่ 3 แห่งของบริษัท (อรัญประเทศ ปราจีนบุรี และเวียงจันทน์) มี EBITDA เป็นบวก และจะช่วยหนุนการเติบโตหลังช่วงวิกฤติโควิด-19 ได้ ส่วนการเปิดศูนย์รักษาแผลเบาหวานแห่งใหม่ในวันที่ 21 พ.ค.65 ศูนย์การแพทย์พิเศษ และศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูในช่วงโควิด-19 จะช่วยหนุนส่วนแบ่งในธุรกิจที่ไม่ใช่โควิด-19 ได้อีกแรง