ปัจจุบันบริษัทมีการให้บริการ 2 ประเภทบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ 1.บัญชีเงินฝากล่วงหน้า (Cash Balance Account) และ 2.บัญชีเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Credit Balance Account) โดยมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ออนไลน์ในนาม Z เป็นหลัก ด้วยความพร้อมด้านประสบการณ์ และการมีแหล่งเงินทุนที่แข็งแกร่ง จากการที่บริษัทมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ GMO Financial Holdings Inc. (GMOFHD) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ GMO Internet โดยทั้ง 2 บริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจากศักยภาพและความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจของผู้ถือหุ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นแก่ทุกภาคส่วน รวมถึงช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่บริษัทได้เป็นอย่างดี
กลยุทธ์หลักเน้น 4 ข้อหลักคือ 1.ด้านความหลากหลายของหลักทรัพย์ที่สามารถซื้อและนำมาวางเป็นหลักประกัน มุ่งเน้นธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Credit Balance) เป็นหลัก 2.กลยุทธ์ด้านอัตราค่าธรรมเนียม เพื่อดึงดูดลูกค้ามาใช้บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ โดยการคิดอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ 0.065%
3.กลยุทธ์ด้านช่องทางการตลาด เน้นแผนการตลาดผ่านการโฆษณาทางช่องทางออนไลน์การออกบูธ การจัดสัมมนาให้ความรู้ และการโฆษณาผ่านช่องทางหนังสือพิมพ์ เป็นต้น 4.กลยุทธ์ด้านกลุ่มลูกค้าคือกลุ่มนักลงทุนมีความรู้เกี่ยวกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและความรู้ด้านการลงทุน โดยเป็นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่อยู่ในกลุ่ม Generation X (อายุ 41-55 ปี) ซึ่งมีประสบการณ์ในการลงทุนสูง และใน
ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้วางแผนขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่ม Generation Y (อายุ 25-40 ปี) ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตเป็นประจำ และหาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนด้วยตนเอง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีบัญชีลูกค้าอยู่ทั้งหมด 10,000 บัญชี ด้านนายประกฤต ธัญวลัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Z กล่าวว่า บริษัทเน้นการให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เป็นหลักภายใต้แบรนด์ Z.com โดยนำองค์ความรู้จาก GMOFHD และนำมาประยุกต์และปรับใช้ให้เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศไทย จนกลายเป็นระบบเทคโนโลยี (Initial Margin Methodology) ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุน บริษัทสามารถคำนวณการปรับเกรดหุ้นเพื่อให้สามารถสะท้อนถึงคุณภาพของหลักทรัพย์ตามสถานการณ์ทุกวันได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และมีจำนวนหลักทรัพย์ที่สามารถซื้อและ/หรือนำมาวางเป็นหลักประกันได้สูงกว่า 800 หลักทรัพย์ และ อยู่ในกลุ่มเกรด A มากกว่า 400 หลักทรัพย์ส่งผลให้ในปัจจุบันบริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เป็นรายได้หลัก ซึ่งมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของไทยได้อย่างแน่นอน "บริษัทมีความแตกต่างที่ไม่เหมือนธุรกิจหลักทรัพย์อื่นๆ ที่เน้นความสำคัญกับค่าคอมมิชชั่นหรือค่านายหน้า โดยบริษัทมุ่งเน้นรายได้จากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เป็นหลัก ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของเรา เพราะไม่ว่าปริมาณการซื้อขายจะมากหรือน้อย ตลาดหลักทรัพย์หยุดทำการหรือติดวันหยุดยาว ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทเนื่องจากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์สามารถสร้างรายได้ให้แก่บริษัทได้ทุกวัน" นายประกฤต กล่าว นางสาวประวีนา ไหมรักษา หัวหน้ากลุ่มงานสนับสนุนงานผู้บริหาร Z เปิดเผยว่า ผลประกอบการในปี 62- 64 บริษัทมีรายได้รวม 251.53 ล้านบาท 398.15 ล้านบาท และ 719.80 ล้านบาท ตามลำดับ และสำหรับงวด 6 เดือนของปี 65 มีรายได้รวม 469.69 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 50.16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากยอดลูกหนี้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ณ วันที่ 30 มิ.ย. 65 บริษัทมียอดลูกหนี้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์อยู่ที่ 13,769 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 40.76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน