ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ที่ระดับ "A" พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A" ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการมีรายได้ค่าบริการที่สม่ำเสมอจากการให้บริการเดินรถไฟฟ้า ตลอดจนการมีกระแสเงินสดรับจำนวนมากจากการลงทุนในสัดส่วน 33.33% ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางรางบีทีเอสโกรท (BTSGIF) และสถานะที่มั่นคงในธุรกิจสื่อโฆษณาของบริษัท อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากภาระหนี้ของบริษัทที่เพิ่มสูงขึ้นเพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในหลายโครงการ
ในช่วงไตรมาสแรกของปีบัญชี 2566 (เมษายน-มิถุนายน 2565) รายได้ของบริษัท (ไม่รวมรายได้จากการให้บริการรับเหมาติดตั้งและก่อสร้าง รวมทั้งการจัดหารถไฟฟ้า) เพิ่มขึ้น 27% สู่ระดับ 3.0 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการรวมรายได้จาก บริษัท แฟนสลิงค์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด อย่างไรก็ตาม กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทปรับลดลง 5% เป็น 2.1 พันล้านบาทในช่วงไตรมาสแรกของปีบัญชี 2566
ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ซึ่งรวมภาระหนี้ที่ใช้เป็นเงินทุนสำหรับลูกหนี้ค้างรับจากกรุงเทพมหานครลดลงมาอยู่ที่ 12.4 เท่า (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลังแล้ว) เมื่อเทียบกับระดับ 13.4 เท่าในปีบัญชี 2565 ทั้งนี้ เมื่อหักลูกหนี้ค้างรับจากกรุงเทพมหานครออกจากเงินกู้แล้ว อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 7.4 เท่าในช่วงไตรมาสแรกของปีบัญชี 2566
ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีหนี้สินที่เป็นภาระดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้นจำนวน 1.12 แสนล้านบาทซึ่งเป็นหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับชำระคืนก่อนจำนวน 3.7 หมื่นล้านบาท โดยหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับชำระคืนก่อนเป็นทั้งหนี้ที่มีการค้ำประกันและไม่มีการค้ำประกันของบริษัทย่อย ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมอยู่ที่ระดับ 33%
แนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" สะท้อนถึงความเป็นไปได้ที่ภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากแผนการลงทุนซึ่งอาจส่งผลทำให้สถานะเครดิตของบริษัทเสื่อมถอยลงจนถึงระดับที่ไม่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันของบริษัท
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 2-3 ปีข้างหน้านั้นยังไม่น่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีภาระหนี้อยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเปลี่ยนกลับมาเป็น "Stable" หรือ "คงที่" ได้หากภาระหนี้ของบริษัทปรับลดลงอย่างมากซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทได้รับการชำระคืนหนี้ทั้งหมดจากกรุงเทพมหาคร (กทม.) และผลการดำเนินงานของธุรกิจสื่อโฆษณาของบริษัทฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 8 เท่าเป็นระยะเวลานาน