นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 69 จะเพิ่มขึ้นแตะ 22,000 ล้านบาท ผ่านการขยายกำลังการผลิตของทั้งธุรกิจหลัก 3 ธุรกิจ ได้แก่ 1. ธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ 2. ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ และ 3. ธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ ผ่านการดำเนินงานของบริษัทย่อย จำนวน 11 บริษัท และการร่วมค้า จำนวน 1 บริษัท
บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) รวม 1,254.56 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนสำหรับการขยายธุรกิจ และการลงทุนโครงการในอนาคตของกลุ่มบริษัทรวมถึงกระบวนการพัฒนา ปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท วงเงินราว 260-475 ล้านบาท ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 700 ล้านบาท ส่วนที่เหลือนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
สำหรับทิศทางผลประกอบการของบริษัทในปี 65 ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 7,536.79 ล้านบาท ซึ่งมีการเติบโตแล้ว 44.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าราคายางพาราในช่วงไตรมาส 3/65 จะปรับตัวลดลง แต่ราคาเฉลี่ยทั้งปียังถือว่าสูงกว่าปีก่อน และกลุ่มลูกค้าของบริษัท ทั้งกลุ่มยางล้อและน้ำมันปาล์มยังมีความต้องการใช้สินค้าของบริษัทอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นส่วนสนับสนุนให้ผลประกอบการของบริษัทมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ โรงงานของบริษัทตั้งอยู่ในภาคตะวันออก ถือว่าเป็นโลจิสติกส์ที่เข้าถึงด้วยระยะทางที่เหมาะสมในการขนส่งวัตถุดิบ และ บริษัทมีสาขาของบริษัทที่กระจายไปอยู่ในทุกภูมิภาค ในขณะเดียวกันบริษัทมีพันธมิตรกระจายไปในภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ ส่งผลให้บริษัทมีแหล่งวัตถุดิบที่ครอบคลุมทั้งประเทศไทย ซึ่งสามารถรองรับการผลิตได้ทั้งปี
"ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาเรามีการเติบโตมาได้อย่างต่อเนื่อง และจากนี้ไปจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมั่นคง การเข้ามาระดมทุนในครั้งนี้จะทำให้เรามีเครื่องมือและความพร้อมทางด้านการเงินที่จะรองรับการเติบโตของเราในอนาคต"นางสาวสินีนุช กล่าว
นอกจากนี้ TEGH มีศักยภาพการเติบโตได้อีกมากในอนาคต เนื่องจากบริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตเพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำในการผลิตยางแท่ง Premium Quality ของประเทศ เพื่อสร้างการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) และความได้เปรียบด้านต้นทุน โดย TEGH ตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตยางแท่งเพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตสูงสุดที่ประมาณ 285,649 ตันต่อปีในปี 64 เป็น 416,494 ตันต่อปี ภายในปี 67 เพื่อรองรับแนวโน้มความต้องการยางแท่งที่เพิ่มขึ้นจากการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต
นางสาวสินีนุช กล่าวว่า การขยายกำลังการผลิตเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการผลักดันรายได้ของ TEGH เพื่อรองรับแนวโน้มความต้องการยางแท่งที่เพิ่มขึ้นจากการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคตจากปัจจัยสำคัญ ปัจจุบันรัฐบาลในหลายประเทศในทวีปยุโรปและอเมริกา เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา สหภาพยุโรป เป็นต้น สนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยมีนโยบายให้สิทธิพิเศษสำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดการณ์ว่าด้วยนโยบายสนับสนุนการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจากรัฐบาลต่างๆ จะส่งผลให้จำนวนรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกมีการเติบโตจาก 11 ล้านคันในปี 63 เป็น 145 ล้านคัน ในปี 73 หรือคิดเป็นอัตราเติบโต 30% ต่อปี ซึ่งจะทำให้ความต้องการยางล้อรถยนต์เพิ่มสูงขึ้น