นางศิริพร เหล่ารัตนกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ของ บมจ.สตาร์ มันนี่ (SM) เปิดเผยว่า SM เตรียมพร้อมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 300 ล้านหุ้น คิดเป็น 27.27% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO และคาดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในปี 65 หลังจากล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนแล้ว
SM ประกอบธุรกิจให้บริการจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์ ทั้งในรูปแบบขายเงินสดและขายเงินผ่อน และให้บริการปล่อยสินเชื่อประเภทต่างๆ ได้แก่ (1) สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน (2) สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มิใช่สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน (3) สินเชื่อที่มีหลักประกัน เช่น ทะเบียนรถ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงให้บริการเป็นนายหน้าประกันวินาศภัย
ณ วันที่ 30 มิ.ย.65 SM มีสาขาทั้งหมด 91 สาขา แบ่งเป็นสาขาหลัก 16 สาขา สาขาย่อย 69 สาขา Express 3 สาขา และสาขาสนับสนุนการทำธุรกิจอีก 3 สาขา ได้แก่ โกดังเก็บสินค้า ลานประมูล และศูนย์ทะเบียน โดยปัจจุบันสาขาครอบคลุมจังหวัดภาคตะวันออก 7 จังหวัด ได้แก่ ระยอง จันทบุรี ชลบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี และสระแก้ว โดยพื้นที่ภาคตะวันออกเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพการขยายตัวสูงจากการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) จึงทำให้มีการย้ายถิ่นฐานเข้ามาในพื้นที่มากขึ้นรวมทั้งรายได้ต่อจำนวนประชากรสูง และเป็นพื้นที่ซึ่ง SM มีความเชี่ยวชาญ นอกจากนี้ SM ยังมีสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีก 2 จังหวัด คือ อุดรธานีและนครราชสีมา
นายชูศักดิ์ วิวัฒน์วงศ์เกษม กรรมการผู้จัดการ SM เปิดเผยว่า แผนการเข้าจดทะเบียนใน SET ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโต และรองรับแผนการขยายสาขาในอนาคต ด้วยวิสัยทัศน์บริษัทมุ่งมั่นจะเป็นผู้นำในการให้บริการสินเชื่อผ่อนชำระ สินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่ออุปโภคบริโภค ภายใต้แนวความคิดเพื่อให้ลูกค้ามีความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) และภูมิคุ้มกันทางการเงินที่เข้มแข็ง และยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนและนักลงทุนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการต่อยอดความสำเร็จของ SM
วัตถุประสงค์หลักในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อต้องการระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจการให้บริการสินเชื่อทุกประเภท ขยายสาขา รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย และ/หรือประกันชีวิต เป็นต้น นอกจากนี้ ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมบางส่วนจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต อีกทั้งเป็นการยกระดับมาตรฐานของบริษัทเพิ่มความน่าเชื่อถือในด้านภาพลักษณ์ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้าและคู่ค้า รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
บริษัทตั้งเป้าหมายธุรกิจในอีก 4 ปีข้างหน้า (ปี 65-68) ในการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์สินเชื่อทางการเงินใหม่ๆ ที่หลากหลาย พร้อมทั้งขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการตามจังหวัดสำคัญ มีการกำกับดูแลบริหารความเสี่ยงอย่างระมัดระวัง และใช้รูปแบบการทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในภาคตะวันออกเป็นต้นแบบการดำเนินธุรกิจรวมทั้งสร้างโอกาสในการเติบโต เพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศช่วงหลังโควิด-19 โดยขยายกลุ่มลูกค้าภาคตะวันออกฐานที่มั่นสำคัญที่มีศักยภาพสูงหนุนการเติบโตบริษัท สอดคล้องกับอัตราการจ้างงานเขต EEC เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในโซนภาคตะวันออกซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ และโอกาสขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคอื่นๆ
สำหรับผลประกอบการในช่วงปี 62-64 ที่ผ่านมา SM มีรายได้รวม 1,087.47 ล้านบาท 1,030.89 ล้านบาท และ 1,239.84 ล้านบาทตามลำดับ โดยรายได้จากการดำเนินงาน ได้แก่ รายได้จากการขายสินค้า รายได้ดอกเบี้ยจากสัญญาเช่าซื้อ และรายได้ดอกเบี้ยจากการให้กู้ยืม รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ และรายได้อื่น (รายได้ค่าธรรมเนียมนายหน้าประกันภัย รายได้ส่งเสริมการขาย เป็นต้น) สำหรับกำไรสุทธิอยู่ที่ 78.19 ล้านบาท 47.62 ล้านบาท และ 102.94 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 7.19%, 4.62% และ 8.30% ตามลำดับ
ขณะที่ผลประกอบการล่าสุดงวด 6 เดือนแรกของปี 65 มีรายได้รวมจำนวน 717.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.19% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการเพิ่มขึ้นหลักๆ มาจากรายได้จากการขายสินค้าประเภทโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ สอดรับแนวโน้มการใช้เทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น การทำงาน และ/หรือ เรียนออนไลน์ รวมถึงมีการเปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ และการขยายช่องทางการขายไปยังสาขา Express ซึ่งการขายจะเน้นแบบผ่อนชำระ ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยตามสัญญาเช่าซื้อเพิ่มขึ้น
อีกทั้งทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับสูงขึ้น เนื่องจากสินค้าประเภทโทรศัพท์มือถือมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 60.80 ล้านบาท ใกล้เคียงงวดเดียวกันของปีก่อน และมีอัตรากำไรขั้นต้น 14.91% อัตรากำไรสุทธิที่ 8.47% เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการบริหารในส่วนของพนักงานเพิ่มขึ้นจากการขยายสาขา และมีต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นจากการกู้ยืมเงินระยะสั้นจากสถาบันการเงิน เพื่อมาขยายพอร์ตสินเชื่อ ขณะที่ปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 91 สาขา ครอบคลุมจังหวัดภาคตะวันออก และมีที่จังหวัดอุดรธานีและนครราชสีมา