นางสาวกมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บมจ.เอพี ไทยแลนด์ (AP) เปิดเผยว่า บริษัทมองเห็นสัญญาณบวกของการกลับมาซื้อคอนโดมิเนียมที่ดีในตลาด โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับ B+ ในทำเลที่มีศักยภาพในกรุงเทพฯ ซึ่งเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง โดยลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงยังคงมีการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่อยู่บนทำเลที่ดี และมีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มไนอนาคต รวมถึงโครงการที่มีการออกแบบ และให้สิ่งอำยวยความสะดวกที่ครบครัน และตอบโจทย์การอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม และปัจจุบันราคาขายคอนโดมิเนียมยังไม่มีการปรับขึ้นมากทั้งโครงการที่สร้างแล้วเสร็จพร้อมโอน และโครงการที่เปิดขายใหม่ ทำให้ลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเลือกซื้อคอนโดมิเนียมในช่วงเวลาดังกล่าว และมองว่าจะเริ่มเห็นตลาดคอนโดมิเนียมกลับมาคึกคักมากขึ้นในปี 66
จากสัญญาณบวกของตลาดคอนโดมิเนียมที่ฟี้นตัวขึ้นได้ดี ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาทำได้แล้ว 7.8 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 66% ของเป้ายอดขายคอนโดมิเนียมในปีนี้ และมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในช่วงปลายเดือนก.ค. 65 บริษัทได้เปิดขายคอนโดมิเนียม Asprie พระราม 4 มูลค่าราว 4 พันล้านบาท สามารถทำยอดขายได้ตามเป้าที่บริษัทตั้งไว้ที่ 23%
และยังเตรียมเปิดคอนโดมิเนียมใหม่อีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 1 หมื่นล้านบาท ในช่วงไตรมาส 4/65 ได้แก่ โครงการ Aspire อ่อนนุช และ Life พหลฯ ซึ่งจะเข้ามาช่วยสร้างยอดขายในช่วงปลายปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้
ขณะที่การโอนคอนโดมิเนียมที่แล้วเสร็จและคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่ในปีนี้ ที่มีการโอนคอนโดมิเนียมใหม่ 3 โครงการ ได้แก่ คอนโดมิเนียม Aspire เอราวัณ ไพร์ม, Aspire สาทร เซียร่า และล่าสุด RHYTHM เอกมัย เอสเตท ถือว่าลูกค้ามีการโอนโครงการเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และยังไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องของการปฏิเสธสินเชื่อ แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยต่างๆจะมีความผันผวน แต่ลูกค้าของบริษัทยังสามารถกู้สินเชื่อจากธนาคารได้ และสามารถโอนโครงการที่ลูกค้าจองได้ตามปกติ
ปัจจุบัน บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ของคอนโดมิเนียมอยู่ที่ 1.9 หมี่นล้านบาท โดยจะมีการทยอยโอนเข้ามาในช่วงที่เหลือของปีนี้อีกกว่า 5.5 พันล้านบาท ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผลักดันให้ยอดโอนรวมของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4.7 หมื่นล้านบาท จากครึ่งปีที่ผ่านมาทำไปได้แล้ว 2.53 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 4/65 ยอดโอนหลักจะมาจากโครงการ RHYTHM เอกมัย เอสเตท มูลค่า 3.35 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้ว 30% และจะเริ่มได้ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. เป็นต้นไป พร้อมตั้งเป้าปิดการขายโครงการดังกล่าวภายใน 2 ปี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโครงการ RHYTHM เอกมัย เอสเตท จะเปิดการขายมาเปิดการขายมากว่า 3 ปี แต่ยอดขายยังค่อนข้างทำได้ไม่มากนักเพียง 30% มีเหตุผลมาจากการที่บริษัทได้มีการปิดการขายชั่วคราวในช่วงโควิด-19 และมีการรื้อถอนสำนักงานขายเพื่อก่อสร้างโครงการดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา ทำให้การขายโครงการดังกล่าวทำได้ช้า แต่ปัจจุบันเมื่อโครงการแล้วเสร็จเริ่มเห็นลูกค้าเริ่ม walk-in เข้ามาชมโครงการ และสามารถทอยอยปิดการขายโครงการ RHYTHM เอกมัย เอสเตท ได้เพิ่มขึ้น คาดว่าหลังจากนี้จะเริ่มมียอดขายที่เพิ่มขึ้นตามมาจากลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมโครงการ