โบรกฯ แนะ 4 หลักเลือกลงทุนหุ้น Deep Value มองโอกาส SET ปลายปีไปถึง 1,730

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 21, 2022 17:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวในการสัมมนาหัวข้อ "Deep Value คัดหุ้นไทยสุดแกร่งติดพอร์ต Q4" ว่า Deep Value คือหุ้นที่มีราคาถูกมากในเชิงพื้นฐาน โดยจะต้องพิจารณาจาก 4 ปัจจัยหลัก คือ

1.ราคาหุ้นปัจจุบันเทียบกับราคาเหมาะสมที่นักวิเคราะห์ประเมิน โดยมี Upside เกินกว่า 20% ขึ้นไป

2.ราคาหุ้นนับจากต้นปีถึงปัจจุบันมีการปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมาก

3.ผลประกอบการมีการเติบโต และ ในปี 66 ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

4.นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีคำแนะนำ "ซื้อ"

โดยเมื่อได้หุ้นที่ผ่านการพิจารณาปัจจัยหลักทั้ง 4 ข้อแล้ว ให้เลือกจากหุ้นที่ได้ปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การเปิดเมือง การบริโภคในประเทศ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และกลุ่มสถาบันทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์

สำหรับหุ้น Deep Value แนะนำให้มองใน กลุ่มค้าปลีก คือ HMPRO กลุ่มสื่อสาร คือ PLANB และสุดท้ายคือ สถาบันทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ คือ TIDLOR และ AEONTS โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนสำหรับตลาดหุ้นไทยให้เน้นการลงทุนหุ้นรายตัวเป็นหลัก

นายเทิดศักดิ์ กล่าวอีกว่า ปัจจัยที่จะเข้ามามีผลกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/65 นั้น มองว่าได้ผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดไปแล้ว ทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรุนแรง และ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งบางประเทศรุนแรงถึงเข้าสู่ภาวะถดถอย ถือว่าได้สะท้อนไปในราคาหุ้นค่อนข้างมากแล้ว ทั้งนี้ มองว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐในครั้งนี้น่าจะอยู่ในระดับ 0.75% หลังจากนั้นจะปรับขึ้นจะเป็นอัตราชะลอลงที่ 0.50% หรือ 0.25%

นอกจากนี้กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังปรับตัวดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งจากปัจจัยต่างๆที่ได้กล่าวมาข้างต้นมองว่าจะหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้ โดยเฉพาะเมื่อดัชนีผ่านแนวต้าน 1,670 จุด มีโอกาสจะไต่ขึ้นไปที่ระดับ 1,730 จุดได้ในช่วงสิ้นปี 65

ด้านทิศทางเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามายังประเทศไทยมีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่เงินบาทอ่อนค่าไปใกล้ระดับ 37 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แต่หลังจากนี้เชื่อว่าเงินบาทจะกลับมาแข็งค่าขึ้นมาได้ เนื่องจากเศรษฐกิจของไทยอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว ด้านผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยปัจจุบันสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปี ถึง 4.5-4.6% จะเป็นส่วนที่ดึงดูดให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามายังประเทศไทย

นายรัฐศรัณฑ์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บล.บัวหลวง เปิดเผยในหัวข้อ "จังหวะสะสม Deep Value คัดหุ้นเทศเข้าพอร์ต" ว่า ยังคงต้องติดตามการประชุมของเฟดที่จะมีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ทั้ง 3 ครั้ง คือ วันที่ 21-22 ก.ย. , วันที่ 1-2 พ.ย. และ วันที่ 13-14 ธ.ค. ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนค่อนข้างมากในระยะเวลาต่อจากนี้

ทั้งนี้ มองว่าช่วงไตรมาส 4/65 เป็นช่วงที่เหมาะสมที่จะเข้าลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐเพื่อรอลุ้นให้ดัชนีกลับมาปรับตัวขึ้นในปี 66 เนื่องจากนักลงทุนให้ความสำคัญกับกำไรของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐจะค่อยๆปรับตัวลดลง นอกจากนี้สถิติย้อนหลังดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐจะปรับตัวลดลงก่อนการเลือกตั้งกลางเทอม โดยสหรัฐจะมีการเลือกตั้งกลางเทอมในวันที่ 8 พ.ย.นี้ หลังจากนั้นดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ

ธีมการลงทุนในสหรัฐ แนะนำให้มองในกลุ่มการแพทย์ คือ JNJ และ UNH กลุ่มสินค้าจำเป็น คือ KO และ P&G

ด้านตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง เป็นตลาดที่น่าสนใจเนื่องจากเศรษฐกิจมีขนาดที่เกินกว่า 70% ของขนาดเศรษฐกิจสหรัฐแล้ว และ GDP มีโอกาสเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 4-5% ถือว่าค่อนข้างสูงเนื่องจากฐานเศรษฐกิจมีขนาดใหญ่มาก และข้อดีของเศรษฐกิจจีนในปัจจุบันคือ ไม่มีปัญหาเงินเฟ้อสูงเหมือนกับสหรัฐ ส่งผลให้จีนยังสามารถดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายได้ ขณะที่ราคาของหุ้นจีนถือว่าน่าสนใจเนื่องจากราคาปรับลงไปมาก ขณะที่กำไรอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสในการที่จะเข้าลงทุนในตลาดหุ้นจีน

ส่วนธีมการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง แนะนำกลุ่มการแพทย์ CSPC Pharma (1093) กลุ่มสื่อสาร China Mobile (941) และกลุ่มเทคโนโลยี คือ NetEase (9999) และ JD.com (9618)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ