บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า จากที่ญี่ปุ่นประกาศรับฟรีวีซ่าท่องเที่ยวรายบุคคล (ไม่ผ่านกรุ๊ปทัวร์) ตั้งแต่ 11 ต.ค. นี้ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 65 เจแปนไทมส์ รายงานว่า นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวระหว่างเดินทางไปนครนิวยอร์กเพื่อร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติว่า ญี่ปุ่นจะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวฟรีวีซ่า ให้เข้าไปเที่ยวได้เองไม่ต้องผ่านบริษัททัวร์ และยกเลิกการจำกัดจำนวน 50,000 คนต่อวัน ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม เป็นต้นไป
ดาโอมองเป็นบวกจากการที่ญี่ปุ่นประกาศเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ และหนุนให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศ และปริมาณการบริโภคในประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น โดยเราประเมินว่าหุ้นที่จะ outperform จากข่าวดังกล่าวมากสุด ได้แก่ AOT, AAV, BAFS และ GFPT
บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) จะช่วยให้จำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศฟื้นตัวได้ดีขึ้น เนื่องจากเป็นประเทศที่คนไทยนิยมไปท่องเที่ยวมาก ทั้งนี้ในช่วงก่อนที่มีการระบาดโควิด-19 AOT จะมีจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศเที่ยวบินจากญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 4 รองจากจีน, อินเดีย และเกาหลีใต้ และคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากเที่ยวบินญี่ปุ่นราว 5% จากรายได้ที่เกี่ยวกับกิจการการบิน (Aeronautical Revenue) ดังนั้นจากการผ่อนคลายมาตรการเดินทางในหลายประเทศทั่วโลก ส่งผลให้เรายังคงประมาณการผลการดำเนินงานปกติงวดปี 65 ขาดทุนที่ -1.0 หมื่นล้านบาท (ดีขึ้นจากงวดปี 64 ที่ขาดทุน -1.5 หมื่นล้านบาท)
โดยแนวโน้มไตรมาส 4 งวดปี 65 จะขาดทุนลดลงต่อเนื่อง จากการผ่อนคลายเปิดประเทศและการกระตุ้นการท่องเที่ยว และจะเริ่มพลิกกลับมีกำไรได้ในงวดปี 66 ที่ +6.8 พันล้านบาท ทั้งนี้ เรายังประเมินจำนวนผู้โดยสารในงวดปี 65 ที่ 46 ล้านคน (+130% YoY), งวดปี 66 ที่ 90 ล้านคน (+96% YoY) และ งวดปี 67 ที่ 135 ล้านคน (+41% YoY) กลับไปใกล้เคียง งวดปี 64 ช่วงก่อนเกิดโควิด โดยเรายังคงแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย งวดปี 66 ที่ 82.00 บาท ยังอิง DCF (WACC = 7%, terminal growth = 3.5%)
บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) จะได้ประโยชน์จากการเปิดเที่ยวบินเส้นทางใหม่ โดยสายการบินไทยแอร์เอเชียจะเริ่มเปิดให้บริการเส้นทางบินใหม่ไปเมืองฟูกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงไตรมาส 3/65 ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่เปิดสายการบินที่มีเที่ยวบินไปญี่ปุ่น ซึ่งเราคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี เนื่องจากเป็นที่นิยมของคนไทยที่ต้องการไปท่องเที่ยว
ทั้งนี้เรายังประเมินผลการดำเนินงานปกติปี 65 จะขาดทุนที่ -7.0 พันล้านบาท โดยงวด 1H65 มีผลขาดทุน -4.5 พันล้านบาท สำหรับผลการดำเนินงานปกติไตรมาส 3/65 จะขาดทุนลดลงเป็น -1.5-1.8 ล้านบาท (ไตรมาส 2/65 ขาดทุน -2.3 พันล้านบาท) จากจำนวนผู้โดยสารที่ฟื้นตัวเร็วขึ้น โดยเรายังประเมินจำนวนผู้โดยสารปี 65 ที่ 9 ล้านคน +207% YoY (ผู้โดยสาร 1H65 อยู่ที่ 3.1 ล้านคน) ส่วนปี 66 ยังประเมินจะเริ่มกลับมามีกำไรได้ จากจำนวนผู้โดยสารที่จะเพิ่มเป็น 16 ล้านคน
ยังคงแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมายปี 66 ที่ 3.30 บาท อิง 2023E PBV ที่ 3.6 เท่า เทียบเท่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มสายการบินในภูมิภาค
บมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS) จะได้อานิสงส์จากจำนวนเที่ยวบินและปริมาณเติมน้ำมันอากาศยานที่เพิ่มขึ้น เราประเมินผลการดำเนินงานไตรมาส 4/65 มีโอกาส turnaround หลังจากที่ล่าสุดปริมาณเติมน้ำมันอากาศยานอยู่ที่ราว 9 ล้านลิตร/วันแล้ว เทียบกับ breakeven ที่ 8.3 ล้านลิตร/วัน เราคงประมาณการปี 65 ขาดทุนปกติ -102 ล้านบาท เทียบกับปี 64 ที่ -785 ล้านบาท และปี 66 จะพลิกเป็นกำไรที่ 369 ล้านบาท คงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 35.00 บาท อิง DCF
บมจ.จีเอฟพีที (GFPT) ได้อานิสงส์ปริมาณการส่งออกไก่ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นเป็น destination หลักของการส่งออกไก่ของประเทศไทย คิดเป็น 48% ของการส่งออกทั้งหมด ขณะที่ GFPT มีรายได้จากการส่งออกไปญี่ปุ่นใน 64 ที่ 11% ของรายได้รวม โดยการส่งออกไปญี่ปุ่นคิดเป็น 50% ของรายได้ export ของบริษัท ทั้งนี้เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 65 อยู่ที่ 1,696 ล้านบาท (+711%YoY) และปี 66 ที่ 1,787 ล้านบาท (+5%YoY) โดยเรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" GFPT และราคาเป้าหมายที่ 19.00 บาท อิง 2022E PER ที่ 14.00 เท่า (5-year average PER)