บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) หุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ จำนวนไม่เกิน 1.2 หมื่นล้านบาท ของบมจ. ไทยออยล์ (TOP) (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ?A+(tha)? แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ) ที่ ?A+(tha)?
หุ้นกู้ดังกล่าวมีสถานะเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทและได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ TOP เช่นเดียวกันกับหนี้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิอื่นๆ ของบริษัท เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะนำไปใช้สำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ชำระคืนหนี้ที่ครบกำหนดและใช้สำหรับการลงทุน
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
- กำไรที่แข็งแกร่งในปี 2565: ฟิทช์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของ TOP จะเพิ่มขึ้นเท่าตัว ไปเป็นประมาณ 5.6 หมื่นล้านบาทในปี 2565 จาก 2.6 หมื่นล้านบาทในปี 2564 TOP จะได้รับประโยชน์จากค่าการกลั่นน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงมากในปี 2565 เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน การกลับมาเปิดประเทศและเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว รวมถึงกำไรจากมูลค่าสต๊อกน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะถูกลดทอนบางส่วนจากการขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง (Hedging losses)
ฟิทช์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของ TOP จะลดลงในปี 2566-2567 เนื่องจากฟิทช์คาดว่าค่าการกลั่นน้ำมันจะอ่อนตัวลง แต่จะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าในช่วงปี 2561-2563 อย่างไรก็ตาม การพิจารณาหาแนวทางของรัฐบาลเพื่อช่วยลดผลกระทบจากราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นต่อผู้บริโภคในรูปแบบของภาษีจากกำไรที่เพิ่มขึ้น หรือการสนับสนุนในรูปแบบอื่นๆ จากผู้ประกอบการธุรกิจกลั่นน้ำมันหากมีการดำเนินการดังกล่าว อาจจะมีผลกระทบอย่างมากต่อกำไรของ TOP
- โครงการ CFP มีความล่าช้ามาก: ความล่าช้าในการเริ่มดำเนินงานของโครงการ Clean-fuel หรือ CFP จะทำให้ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในโครงการเพิ่มขึ้น และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานจากโครงการล่าช้าออกไป การเริ่มดำเนินงานของโครงการ CFP จะล่าช้าออกไปเกือบ 2 ปีจากแผนการเดิม เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส บริษัทฯ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเต็มรูปแบบได้ในช่วงต้นปี 2568
อย่างไรก็ตามหน่วยผลิตของโครงการบางส่วนจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในปี 2567 บริษัทฯคาดว่าความล่าช้าจะทำให้ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในโครงการเพิ่มประมาณร้อยละ 10 ของมูลค่าโครงการ หรือประมาณ 450 ถึง 550 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ฟิทช์ประมาณการว่าจะเริ่มมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของโครงการ ในปี 2568 เป็นต้นไป
- แผนการลงทุนที่ไม่สามารถเลื่อนได้ในระดับสูง: TOP มีค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ในระดับสูงในปี 2565-2567 เนื่องจากบริษัทฯ กำลังก่อสร้างโครงการ CFP นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิมที่จะมีอายุครบ 25 ปี ในเดือนมีนาคม 2566 TOP มีแผนจะใช้เงินลงทุนจำนวนประมาณ 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ไม่รวมเงินที่คาดว่าจะได้จากการขายหน่วย Energy Recovery (ERU)) สำหรับ 2 โครงการนี้ (เงินลงทุนส่วนใหญ่จะใช้ในโครงการ CFP) ในปี 2565-2567 ซึ่งจะทำให้ TOP มีกระแสเงินสดสุทธิเป็นลบในปี 2565-2566
- Recapitalization Plan เป็นไปตามแผน: แผนการจัดหาเงินทุนสำหรับการปรับโครงสร้างทางการเงิน (Recapitalization Plan)
ในเรื่องการเพิ่มทุน ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติการเพิ่มทุน และบริษัทฯ อยู่ระหว่างการดำเนินการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน และคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่สี่ ปี 2565
- การขยายเทอมการชำระเงิน: TOP ได้เริ่มขยายเทอมการชำระเงินสำหรับการซื้อน้ำมันดิบจากบมจ. ปตท. (PTT) หรือ ปตท. (อันดับเครดิต BBB+/AAA(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ โดยถือหุ้นโดยตรงอยู่ร้อยละ 45 ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 TOP คาดว่าจะขยายเทอมการชำระเงินดังกล่าวเป็น 90 วัน จากปกติ 30 วันภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะช่วยลดความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนที่มากขึ้นจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และช่วยเพิ่มความคล่องตัวทางการเงินให้กับ TOP ในการบริหารจัดการอัตราส่วนหนี้สินและสภาพคล่องของบริษัทฯ
- CFP เพิ่มศักยภาพธุรกิจ: CFP จะช่วยเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันของ TOP และความสามารถในการผลิตน้ำมันที่มีมูลค่าสูงได้มากขึ้น และทำให้บริษัทฯ สามารถกลั่นน้ำมันดิบชนิดหนักมากขึ้นได้กระบวนการกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์และอัตราการใช้กำลังการกลั่นที่สูงของ TOP
- การขยายกิจการเข้าสู่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีตามแผน: การเข้าซื้อหุ้น CAP เป็นไปตามแผนของบริษัทฯ ในการกระจายแหล่งที่มาของกำไรที่ปัจจุบันมาจากธุรกิจปิโตรเลียมเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม TOP มีความสามารถในการเข้าถึงกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ CAP ในระดับจำกัด ซึ่งจะอยู่ในรูปของเงินปันผลรับ เนื่องจาก TOP เป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อย อย่างไรก็ตาม TOP จะได้รับประโยชน์จากสัญญาซื้อขายวัตถุดิบ (Feedstock sales and purchase agreement) กับ CAP ซึ่งจะช่วยรองรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied petroleum gas) และแนฟทา (Naphtha) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากโครงการ CFP แม้ว่าข้อตกลงเรื่องราคาและข้อตกลงอื่นๆ เป็นไปตามเงื่อนไขการค้าที่ยุติธรรม (Arm?s
- ความสัมพันธ์กับปตท.: อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ TOP ได้มีการพิจารณารวมถึงการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นสองอันดับ จากสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ของบริษัท ที่อยู่ที่ ?a-(tha)? ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนแก่ TOP ในระดับปานกลาง ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary
TOP เป็นผู้ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของ ปตท. อีกทั้ง TOP มีแนวโน้มที่จะเป็นบริษัทหลักของ ปตท.ในการขยายธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน โดย TOP เป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปให้กับ ปตท.คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปทั้งหมดที่ ปตท. จัดจำหน่าย นอกจากนี้ ปตท.ยังขยายเทอมการชำระเงินสำหรับการซื้อน้ำมันดิบให้กับ TOPเพื่อช่วยรักษากระแสเงินสดและลดความต้องการใช้เงินกู้ในช่วงที่มีการลงทุนสูง และรับซื้อหุ้น GPSC ตามแผนการปรับโครงสร้างทางการเงินหลังการเข้าซื้อหุ้นCAP
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
สถานะทางเครดิตโดยลำพังของ TOP ที่ ?a-(tha)? สะท้อนถึงขนาดธุรกิจและโรงกลั่นที่มีการผลิตแบบคอมเพล็กซ์ของบริษัท
สถานะทางธุรกิจของ TOP แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับบริษัทในธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีในประเทศไทยที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิต แต่มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิ ที่ค่อนข้างสูง
TOP มีโรงกลั่นน้ำมันที่คอมเพล็กซ์กว่าและมีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่า IRPC (อันดับเครดิตที่ A-(tha) แนวโน้มมีเสถียรภาพ; สถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ bbb(tha)) แม้ว่า IRPC จะมีการผลิตปิโตรเคมีที่มากกว่า นอกจากนี้ TOP ยังสามารถดำเนินการกลั่นน้ำมันโดยใช้กำลังการผลิตที่เต็มที่มากกว่า ซึ่งทำให้มีอัตราส่วนกำไรโดยเฉลี่ยสูงกว่า
ทั้งสองบริษัทจะมีอัตราส่วนหนี้สินที่ใกล้เคียงกัน แม้ว่าอัตราส่วนหนี้สินของ TOP จะสูงกว่าในช่วงการดำเนินการก่อสร้างโครงการ CFP ดังนั้นสถานะทางเครดิตโดยลำพังของ TOP จึงอยู่สูงกว่าของ IRPC
TOP มีขนาดธุรกิจที่เล็กกว่าและมีการผลิตปิโตรเคมีที่น้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ PTTGC (อันดับเครดิตที่ AA(tha)
แนวโน้มมีเสถียรภาพ; สถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ a+(tha)) นอกจากนี้ PTTGC ยังมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า เนื่องจากมีการดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า ดังนั้นสถานะทางเครดิตโดยลำพังของ TOP จึงอยู่ต่ำกว่าของ PTTGC
สมมุติฐานที่สำคัญ:
- ราคาน้ำมันดิบ (เบรนท์) ที่ราคา 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2565, 85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2566, 65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2567 และ 53 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2568 เป็นต้นไป โดยมีการปรับด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันตามการซื้อน้ำมันดิบของ TOP
- ค่าการกลั่นเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2565 แล้วอ่อนตัวลงในปี 2566-2567
- การใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นที่ร้อยละ 105 ในปี 2565-2567 และร้อยละ 85-90 ในปี 2568-2569 เมื่อโครงการ
- กำไรของธุรกิจอะโรเมติกส์และธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น ลดลงอย่างมากในปี 2565 แล้วค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในปี 2566
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนจำนวน 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2565-2568 ซึ่งครอบคลุมการลงทุนในโครงการ CFP (ซึ่งพิจารณารวมถึงเงินที่ได้จากการขาย ERU) โครงการโรงผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก ค่าใช้จ่ายลงทุนที่อยู่ในแผนและค่าใช้จ่ายเพื่อการบำรุงรักษา
- เงินลงทุนเพิ่มเติมจำนวน 270 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการเข้าซื้อหุ้น CAP ในปี 2565
- เงินรับจากการเพิ่มทุนจำนวนประมาณ 1 หมื่นล้านบาทในปี 2565
- การขยายเทอมการชำระเงินเพื่อซื้อน้ำมันดิบกับ ปตท. เป็น 90 วันในปี 2565-2567 จาก 30 วัน
- อัตราการจ่ายเงินปันผลร้อยละ 40-50
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:
- แนวโน้มเครดิตอาจถูกปรับเป็นมีเสถียรภาพ หากบริษัทฯ ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Net Debt to EBITDA) ให้ไปอยู่ในระดับต่ำกว่า 4.5 เท่าในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า โดยการเข้าซื้อหุ้นและแผนการจัดหาเงินทุนสำหรับการปรับโครงสร้างทางการเงินสำเร็จตามแผนในเวลาที่บริษัทฯ คาดการณ์ไว้
- ระดับความสัมพันธ์ของบริษัทฯ กับ ปตท. ที่เพิ่มมากขึ้น
ปัจจัยลบ:
- อัตราส่วน Net debt to EBITDA อยู่ในระดับสูงกว่า 4.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
- ระดับความสัมพันธ์ของบริษัทฯ กับ ปตท. ที่ลดลง
สภาพคล่อง
สภาพคล่องที่เพียงพอ: TOP มีสภาพคล่องที่เพียงพอ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 4.5 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 ซึ่งมากพอที่จะรองรับหนี้สินจำนวน 3.4 หมื่นล้านบาทที่จะครบกำหนดชำระภายใน 12 เดือนจากเดือนมิถุนายน 2565 สภาพคล่องของบริษัทฯ ยังได้รับการสนับสนุนจากวงเงินกู้ที่มีกับ ปตท. จำนวน 2 พันล้านบาท รวมถึงวงเงินกู้ประเภท Committed จำนวนประมาณ 7.2 พันล้านบาท และวงเงินกู้ทั่วไปจำนวนประมาณ 1.0 หมื่นล้านบาทจากสถาบันการเงิน รวมทั้งบริษัทฯ ยังมีความสามารถในการระดมทุนผ่านตลาดทุน
ฟิทช์คาดว่า TOP จะมีกระแสเงินสดสุทธิติดลบในปี 2565-2566 เนื่องจากการลงทุนที่สูง ซึ่งคาดว่าจะมีการใช้การกู้เงินในการลงทุน ฟิทช์คาดว่าเงินกู้ระยะสั้นเพื่อการซื้อหุ้น CAP (Bridging loan) ที่เหลือจะได้รับการชำระคืนจากเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนในปีนี้ นอกจากนี้ TOP ยังมีกำหนดการชำระคืนหนี้ที่อยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ โดยมีอายุเฉลี่ยของหนี้ที่ครบกำหนดชำระประมาณ 15 ปี