บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) คาดว่าหุ้นกลุ่มธนาคารจะทำผลงานได้ดีกว่าดัชนี SET เนื่องจากกำไรที่ดีขึ้น ทั้งนี้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาเปิดใหม่ได้หนุนให้รายได้ภาคครัวเรือนปรับตัวเพิ่มขึ้น และน่าจะชดเชยผลกระทบจากเงินเฟ้อที่สูงจากราคาน้ำมันและอาหารที่สูงขึ้น หุ้นเด่นของเรา คือ KKP และ KTB เราชอบ KKP ที่มีรายได้เติบโตแข็งแกร่ง คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นน่าสนใจ นอกจากนี้ เรายังคาดว่าธนาคารขนาดใหญ่จะได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและมองว่า KTB น่าสนใจในแง่ของราคาหุ้นที่ถูกและคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น
- คาดกำไรโต 24% YoY ในไตรมาส 3/65
คาดว่าธนาคารทั้ง 7 แห่งที่เราวิเคราะห์จะรายงานผลประกอบการในไตรมาส 3/65 รวมกันที่ 4.31 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% YoY (จาก NII ที่สูงขึ้นและต้นทุนสินเชื่อที่ลดลง) แต่ลดลง 1% QoQ (เนื่องจาก opex ที่สูงขึ้น) โดย KTB และ KKP มีแนวโน้มที่จะรายงานการเติบโตของ EPS ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ 48% และ 40% YoY ตามลำดับ เนื่องจากการเติบโตของ NII ที่แข็งแกร่งและต้นทุนสินเชื่อที่ลดลง สินเชื่อมีแนวโน้มเติบโต QoQ นำโดย BBL (นำโดยสินเชื่อองค์กร) และ KKP (สินเชื่อรายย่อย) ขณะที่ NIM มีแนวโน้มที่จะเติบโต QoQ จากผลตอบแทนเงินกู้ที่สูงขึ้น ส่วน Non-NII คาดว่าจะลดลง 8% YoY เนื่องจากค่าธรรมเนียมตลาดทุนที่ลดลง ในแง่บวก PPoP มีแนวโน้มที่จะเติบโต 3% YoY นำโดย KKP (+25% YoY จากการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่ง)
- คุณภาพสินทรัพย์ทรงตัว ต้นทุนสินเชื่อคาดว่าจะลดลง
คาดว่าอัตราส่วน NPL ของกลุ่มธนาคารจะเพิ่มขึ้น 4bps QoQ เป็น 4.00% ในไตรมาส 3/65 เนื่องจากสินเชื่อในโครงการบรรเทาหนี้บางส่วนกลายเป็น NPLs อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าต้นทุนสินเชื่อจะลดลง 126bps ในไตรมาส 3/65 จาก 158bps ในไตรมาส 3/64 ทั้งนี้ เราไม่ค่อยกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์นัก เนื่องจากธนาคารไทยมี NPL coverage สูงถึง 167% โดยเฉลี่ย ณ สิ้นไตรมาส 2/65 เนื่องจากนโยบายการกันสำรองล่วงหน้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราคาดว่าโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะดำเนินต่อไปในไตรมาส 4/65 และปี 2566 จากกิจกรรมการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น
- ต้นทุนสินเชื่อที่ลดลงจะหนุนกำไรเติบโต ธนาคารไทยมีมูลค่าสูง
คาดว่ากำไรของกลุ่มธนาคารจะเติบโต 18% YoY ในปีนี้จากต้นทุนสินเชื่อที่ลดลง เราเชื่อว่า NPL จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น และไม่คาดว่า ต้นทุนสินเชื่อ จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากธนาคารสามารถตัดขาดทุนจาก NPL ได้เมื่อเวลาผ่านไป เรามองว่าธนาคารขนาดใหญ่ของไทยมีมูลค่าสูงเนื่องจากสามารถปลดล็อกมูลค่าจากบริษัทย่อยได้เช่น ธุรกิจสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน การบริหารสินทรัพย์ ประกันชีวิต และธุรกิจหลักทรัพย์ในระยะยาว โดย NIM ของทั้งกลุ่มน่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวและได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น