นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มั่นใจผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปีนี้จะเติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมการดำเนินงานเดือนก.ค.ที่ผ่านมาถึงปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะเดือนส.ค.ที่ผ่านมา เห็นการฟื้นตัวของธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/65 เนื่องจากได้รับงานให้บริการโลจิสติกส์แก่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) ส่งผลดีต่อรายได้และกำไรขั้นต้นของธุรกิจดังกล่าว
ส่วนธุรกิจบริหารท่าเทียบเรือชายฝั่งขนส่งสินค้า (Barge Terminal) สามารถให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างเต็มที่และมีปริมาณงานเฉลี่ยต่อเดือนสูงกว่าครึ่งปีแรก หลังจากปรับปรุงซ่อมแซมเครื่องจักรแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย
ด้านธุรกิจคลังสินค้า ได้แก่ คลังสินค้าทั่วไปภายในพื้นที่เขตปลอดอาการท่าเรือแหลมฉบัง ปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่เต็ม และคลังสินค้าอันตรายคาดว่าจะมีรายได้สูงกว่าครึ่งปีแรกของปีนี้ ขณะเดียวกันได้ บริษัทฯ ยังรับรู้รายได้จากคลังสินค้าห้องเย็นแห่งใหม่ที่ทยอยเปิดบริการ ได้แก่ คลังสินค้าห้องเย็น PACM ที่ร่วมทุนกับบริษัท เอ็ม เอ็ม พี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด พื้นที่รวม 10,800 ตารางเมตร จัดเก็บสินค้าได้ 20,000 พาเล็ต ปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่เต็มหลังจากเปิดบริการเพียง 3-4 เดือน และคลังสินค้าห้องเย็น PACS จังหวัดสระบุรี ที่เปิดบริการเมื่อวันที่ 8 เดือน 8 ที่ผ่านมา มีพื้นที่รวม 8,000 ตารางเมตร จัดเก็บสินค้าได้กว่า 11,000 พาเล็ต โดยติดตั้งระบบ Automated Storage & Retrieval System (ASRS) ในการจัดเก็บและบริหารสินค้า ช่วยลดการเพิ่มแรงงาน
ธุรกิจห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า (Self-Storage) อยู่ระหว่างวางแผนขยายการลงทุนร่วมกับ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ และ Fuze Post (ฟิ้วซ์ โพสต์) ธุรกิจให้บริการขนส่งด่วนแบบควบคุมอุณหภูมิที่บริษัทฯ ร่วมทุนกับไปรษณีย์ไทยและแฟลช เอ็กซ์เพรส คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ธุรกิจในต่างประเทศ เช่น ธุรกิจฟู้ดเซอร์วิสในประเทศไต้หวันสามารถทำกำไรในปีนี้อย่างต่อเนื่อง, ธุรกิจในกัมพูชาคาดว่าจะรับรู้รายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น เป็นต้น
ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาธุรกิจ คาดว่ามีโอกาสจะปิดดีลได้ภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ พร้อมกันนี้ได้วางแผนรับมือผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยจะลงทุนรถขนส่งที่ใช้เชื้อเพลิงจากพลังงานไฟฟ้าเฟสแรก 10 คัน อย่างไรก็ตามบริษัทฯ มีเงื่อนไขปรับขึ้นค่าขนส่งกับคู่ค้าในกรณีที่ราคาน้ำมันในตลาดสูงขึ้น ส่วนนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากปัจจุบันบริษัทฯ จ่ายค่าจ้างสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำอัตราใหม่ จึงมั่นใจว่าจะทำรายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 15% จากปีก่อนได้ตามเป้าหมาย
นายชวนินท์ กล่าวว่า แผนขยายธุรกิจภายใต้แผนยุทธศาสตร์ 5 ปี (ปี 64-68) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายรายได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท เติบโตกว่าเท่าตัว และเพิ่มอัตรากำไรสุทธิเป็น 15% ปัจจุบันมีความคืบหน้าตามแผนงานที่วางไว้ภายใต้ 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1. การเข้าซื้อกิจการและขยายธุรกิจขนส่งสินค้า เพื่อก้าวเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบ Multimodal Transportation หรือการขนส่งสินค้าต่อเนื่องหลายรูปแบบ เช่น การเข้าซื้อกิจการบริษัท วีเอ็นเอส ทรานสปอร์ต จำกัด (VNS) ในปีที่ผ่านมา 2. การขยายธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นในจังหวัดที่มีศักยภาพ
3. การขยายธุรกิจต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นประเทศเวียดนาม กัมพูชาและอินโดนีเซีย ที่มีศักยภาพเติบโตสูง 4. การขยายธุรกิจแบบ B2C (Business to Customer) ได้แก่ ธุรกิจห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า, ธุรกิจ Order Fulfillment (การจัดการคลังสินค้าออนไลน์) เพื่อตอบสนองการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซ และการขยายธุรกิจ Last mile Delivery เพื่อให้บริการจัดส่งสินค้าจากคลังสินค้าไปถึงผู้รับปลายทาง และ 5. การขยายธุรกิจผ่านการร่วมทุน ได้แก่ การร่วมทุนกับ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จัดตั้งบริษัทร่วมทุน "แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น" เพื่อขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมแบบครบวงจร ปัจจุบันได้ร่วมกันพัฒนาคลังสินค้าห้องเย็นและคลังสินค้าทั่วไปที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิในย่านบางนา กม.22 และวางแผนขยายการลงทุนโครงการใหม่อีก 2 แห่งในย่านบางนา กม.19 และรังสิต
ทั้งนี้ มองว่าในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า ธุรกิจโลจิสติกส์และซัพพลายเชนจะแข่งขันกันที่ความหลากหลายของการให้บริการและความสามารถในการควบคุมต้นทุน ดังนั้นบริษัทฯ จะขยายธุรกิจและการลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับ JWD เป็น "Smart Green Logistics" เช่น การลงทุนระบบโรโบติกส์ในธุรกิจคลังสินค้าและคลังสินค้าห้องเย็นเพื่อลดการเพิ่มแรงงานใหม่, การลงทุนด้านไอทีโซลูชั่นเพื่อจัดการข้อมูลระบบซัพพลายเชน, การลงทุนในเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
"จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ตอกย้ำถึงศักยภาพการปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับปัจจัยต่าง ๆ และการพัฒนาธุรกิจอยู่ตลอดเวลาและบริการใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจที่เป็นเทรนด์การเติบโต กล้าที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ สอดคล้องกับ DNA ของบริษัทฯ ?Think Everything Logistics? ที่สื่อความหมายว่าทุกลมหายใจของพนักงานคือโลจิสติกส์ ภายใต้สโลแกนใหม่ ?เพราะโลจิสติกส์ไม่ใช่แค่คิด แต่มันคือชีวิตของเรา" นายชวนินทร์ กล่าว