นายอบิจิต ดัตต้า กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในเครือ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า ด้วยภาวะสงครามและการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นสถานการณ์คาดไม่ถึงและคาดเดาไม่ได้ส่งผลให้อุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลกเผชิญหน้ากับวิกฤตการขนส่งสินค้า ราคาพลังงาน และต้นทุนวัตถุดิบผันผวน SCG International จึงได้นำเสนอโซลูชั่นที่ตอบโจทย์และครอบคลุมการทำธุรกิจระหว่างประเทศ ผ่าน 3 กลยุทธ์ที่จะขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต ครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และธุรกิจ SMEs ได้แก่ End-to-End Supply Chain Solutions, Green Business และ B2B ASEAN E-Marketplace
"เราตั้งเป้าเติบโตเฉลี่ย 6% ในระยะยาว โดยมียอดขาย 54,000 ล้านบาท ในปี 65 มีเป้าหมายเป็นผู้นำพันธมิตรการค้าครบวงจรระดับโลก (Trusted International Supply Chain Partner) เน้นขับเคลื่อนการเติบโต โดยขยายธุรกิจสู่ตลาดที่จะเป็นเมกะเทรนด์ของโลก อาทิ SAMEA เป็นต้น"
SCG International (เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล) เดิมมีชื่อว่า SCG Trading มุ่งเน้นโมเดลธุรกิจที่จะเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน จากการผนึกกำลังพันธมิตรทางการค้า ไม่เพียงเป็นตัวกลางในการจัดจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศ แต่ยังมีบทบาทการเป็นผู้นำพันธมิตรการค้าครบวงจรระหว่างประเทศที่น่าเชื่อถือผ่านการนำเสนอสินค้าและโซลูชั่นครบวงจร เพื่อตอบสนองลูกค้ากลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมระหว่างประเทศอย่างแท้จริงภายใต้พันธกิจในการเป็น TRUSTED INTERNATIONAL SUPPLY CHAINPARTNER
ทั้งนี้ 3 กลยุทธ์การเติบโตที่มาขับเคลื่อน SCG International ไปสู่ความเป็นผู้นำพันธมิตรการค้าครบโซลูชั่นระดับโลก (Trusted International Supply Chain Partner) ได้แก่
1.โซลูชั่นบริหารจัดการสินค้าและวัตถุดิบให้ลูกค้าแบบครบวงจร (End-to-End Supply Chain Solutions): SCG International มีความสมบูรณ์แบบในการจัดหาโซลูชั่นที่มีความยืดหยุ่น (Resilient Solutions) และโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพ (โซลูชั่น Efficient Solutions) เพื่อนำเสนอบริการ Supply Chain ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หรือธุรกิจ SMEs ทั้งหมดเพื่อนำไปสู่การสร้าง Eco System ที่แข็งแกร่งของ Supply Chain ทั้งในและต่างประเทศ
จากความแข็งแกร่งของเครือข่ายการค้ากว่า 21 สาขาทั่วโลก ประสบการณ์ยาวนานมากกว่า 40 ปี และมีมาร์เก็ตติ้งแพลตฟอร์มของตัวเอง โดยเฉพาะระบบสนับสนุนด้านการเงิน ที่จะช่วยสร้างกระแสเงินสด ปิดช่องว่างทางการเงินและเพิ่มปริมาณซัพพลายได้ต่อเนื่อง ทำให้ SCG International มีศักยภาพในการมอบโซลูชั่นครบวงจรให้กับผู้ประกอบการตลอดทั้ง Supply Chain แม้ว่าโลกจะเผชิญวิกฤติดิสรัปชั่น (Supply Chain Disruption)
"ด้วยความพร้อมในหลายมิติเราจึงมุ่งเจาะกลุ่ม SAMEA ตลาดเกิดใหม่ ในกลุ่มประเทศเอเชียใต้ รวมถึง กลุ่มประเทศในตะวันออกกลางอย่างกลุ่ม GCC ความร่วมมืออ่าวอาหรับที่เจาะกลุ่ม 6 ประเทศ ซาอุดิอาระเบีย คูเวต โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์และบาห์เรน รวมถึงประเทศในแอฟริกา ซึ่งเฉพาะกลุ่ม SAMEA นั้น มีอันดับการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยมีประชากรรวมกันมากกว่า 45% ทั่วโลก"
ทั้งนี้กลุ่มประเทศที่ SCG International เปิดตลาดแล้ว ได้แก่ อินเดีย ในกลุ่มธุรกิจท้องถิ่นและธุรกิจก่อสร้าง อีกทั้งมีแผนการขยายตลาดไปยังประเทศที่มีศักยภาพอาทิ บังคลาเทศ, ศรีลังกา ตลอดจนประเทศในแถบแอฟริกาในอนาคต
"เรากำลังสร้าง The Dubai Hub เพื่อเป็นศูนย์กลางบริหารสินค้าในกรุงดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่จะช่วยลดระยะเวลาการขนส่งและต้นทุนสินค้าในการค้าขายในกลุ่ม SAMEA อีกทั้งเรามองว่าดูไบเป็นเมืองที่เอื้อต่อการเชื่อมต่อไปยังสองประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างจีนและอินเดีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้ารายใหญ่ของโลกด้วย โดยล่าสุดการสานสัมพันธ์ระหว่างซาอุดิอาระเบียและไทย จะเป็นการเปิดโอกาสที่ดีให้กับขยายเครือข่ายธุรกิจมากยิ่งขึ้น"
2.ธุรกิจสีเขียว (Green Business) : มุ่งเน้นการขยายสินค้าและบริการในกลุ่มธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วย Smart Clean Mobility โซลูชั่นบริการครบวงจรสำหรับธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) รวมบริการต่างๆ เพื่อช่วยจัดการค่าใช้จ่ายและความคล่องตัวของผู้ใช้ระดับองค์กรทุกประเภทสำหรับลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการ ไปจนถึงโซลูชั่นจัดหาเพื่อธุรกิจโซลาร์ เพื่อมุ่งไปสู่การเป็นผู้นำการนำเข้าสินค้าและบริการเกี่ยวกับธุรกิจโซลาร์ โดยศักยภาพธุรกิจโซลาร์ของ SCG International เป็นไปในลักษณะ Volume Consolidation เนื่องจากมีการรุกตลาดธุรกิจโซลาร์ในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ
"การพัฒนาโมเดลธุรกิจ Smart Clean Mobility ของ SCG International เป็นไปในลักษณะใช้ Demand Driven จากจำนวนการใช้รถไฟฟ้าของทั้งเครือ SCG มีอยู่ประมาณ 14,500 คัน ครอบคลุมการใช้รถหลากหลายประเภท (Applications) ด้วยปริมาณการใช้งานจำนวนมากจะก่อให้เกิดการพัฒนา Charging Station ที่มีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดในการขยายธุรกิจ"
นอกจากโมเดลธุรกิจ EV แล้ว SCG International ยังพร้อมขยายโซลูชั่นการจัดหาและบริการไปยังธุรกิจแผงโซล่าเซลล์ หรือที่เรียกว่า BIPV(Building Integrated Photovoltaics) ครอบคลุมตั้งแต่แผงโซลาร์, ระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า (ESS- Energy storage) ไปจนถึงอุปกรณ์เสริมที่เกี่ยวข้อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในกลุ่มธุรกิจที่ต้องการความยั่งยืนและแสวงหาพลังงานทางเลือกแบบครบวงจร
"SCG International ต้องการสร้าง Eco System Leader ที่เน้นการเชื่อมเครือข่ายพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่อง EV มากกว่าโดยเฉพาะความเชี่ยวชาญในเรื่องการซ่อมบำรุงและพันธมิตรด้านการเงิน"
3.แพลตฟอร์มดิจิทัลเข้าถึงกลุ่ม B2B ในตลาดอาเซียน (B2B ASEAN E-Marketplace): SCG International ช่วยให้คู่ค้าเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ ผ่าน B2B ASEAN E-Marketplace ซึ่งดำเนินการโดย SCG International ด้วยแพลตฟอร์มอำนวยความสะดวกให้เจ้าของ SMEs ดำเนินธุรกิจแบบ B2B ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงกลุ่มผู้ซื้อและผู้ขายที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะสินค้าด้านการเกษตรและสินค้ายานยนต์ โดยมุ่งเน้นการขยายตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียน
ด้าน นายอัลวิน แอนทัน คาร์ลอส ออง หัวหน้ากลุ่มธุรกิจ e-Commerce และ Supply Chain ระหว่างประเทศ ในฐานะฟันเฟืองสำคัญของการขับเคลื่อนกลยุทธ์ B2B ASEAN E-Marketplace กล่าวว่า BIG Thailand เป็น B2B E-Marketplace ภายใต้การบริหารของ SCG International เป็นพื้นที่เชื่อมโยงธุรกิจอันทรงพลัง ระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขายที่มีศักยภาพ เป็นแพลตฟอร์มรวมสินค้ายานยนต์และการเกษตรที่ให้บริการเต็มรูปแบบครอบคลุมทุกฟังก์ชั่น รวมไปถึงบริการด้านการเงินจากพันธมิตร (Financial Solution) และระบบการจัดการที่เชื่อถือได้
"ความแข็งแกร่งของ BIG Thailand คือการร่วมกับพันธมิตรด้านการเงิน โลจิสติกส์ การตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในด้านยานยนต์และการเกษตร ไม่เพียงเชื่อมต่อผู้ซื้อและผู้ขายเพื่อขยายฐานการตลาด แต่ยังช่วยจบปัญหาต้นทุนการขนส่ง แก้ปัญหาระบบธุรกรรมและระบบการรับ-จ่ายค่าสินค้าที่ยุ่งยาก"
ปัจจุบัน BIG Thailand มีบัญชีผู้ซื้อกว่า 30,000 ราย มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 20,000 บาทต่อคำสั่งซื้อ มีจำนวนการเข้าชมเว็บไซต์เติบโตขึ้น 55% นับจากปี 2563-2564 ด้านผู้ขายมีมากกว่า 500 ราย ในขณะที่อัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ซื้อมีการเติบโตสูงขึ้นมากถึง 2,000% ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี โดยมีหมวดหมู่สินค้ามากกว่า 13 ประเภท อาทิ กลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้า, เกษตรกรรม, ผลิตภัณฑ์เพื่อสัตว์, กลุ่มน้ำมันเครื่องและของเหลว, กลุ่มยางและล้อ โดย BIG Thailand มีอัตราการเติบโตล่าสุด คิดเป็น 30%
ในอนาคต BIG Thailand มีแผนจะขยายฐานใหม่ๆ ไปพร้อมกับสร้างแพลตฟอร์มในแต่ละประเทศอาเซียนเพื่อเชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขายระดับภูมิภาค ภายใน 3 ปี จะขยายไปยังฟิลิปปินส์, เวียดนาม และมีเป้าหมายสูงสุด คือ การเจาะเข้าสู่ตลาดใหม่ในอาเซียนไปสู่การเป็นศูนย์จำหน่ายระดับภูมิภาค
มุมมองจากคู่ธุรกิจ ? บทพิสูจน์ของการเป็น Trusted International Supply Chain Partner ผู้นำพันธมิตรค้าขายแบบครบวงจร
นายพิษณุ มิลินทานุช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการทั่วไป สายงานขายการตลาดและบริการ บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัดในฐานะคู่ค้ากับ SCG International กล่าวว่า สยามคูโบต้ายังคงเป็นผู้นำตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรและตลาดรถขุดเล็ก โดยที่ผ่านมา SCG International เข้ามาช่วยสร้างเครือข่ายให้กับสยามคูโบต้าและขยายช่องทางการจำหน่ายที่มีศักยภาพในต่างประเทศ อาทิ กัมพูชา และกำลังเดินหน้าไปสู่กลุ่มประเทศใหม่ๆ ช่วยสร้างแบรนด์สยามคูโบต้าให้เป็นที่ยอมรับในตลาดเพิ่มมากขึ้น จากการจัดกิจกรรมสร้างความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างสินค้าของสยามคูโบต้าและสินค้าแบรนด์อื่น
"เนื่องจาก SCG International มีเครือข่ายและคอนเน็คชั่นที่ดีในหลายประเทศ ช่วยให้สยามคูโบต้ามีโอกาสได้รับความร่วมมือที่ดีจากภาคภาครัฐและเอกชน อย่างในกัมพูชาเกิดความร่วมมือกัน ทำให้สินค้าได้รับการยกเว้นภาษี (Tax exemption) สำเร็จ อีกทั้ง SCG International ยังมีความพร้อมทั้งทรัพยากรบุคคล, เงินทุน, ประสบการณ์, สารสนเทศ และสำนักงานสาขาในหลายประเทศ ทำให้เข้าใจบริบทท้องถิ่น ช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างเป็นระบบ"