TEGH เปิดเทรดวันแรกที่ 4.98 บาท สูงขึ้น 0.18 บาท หรือ +3.75% จากราคา IPO 4.80 บาท
บล.ทรีนิตี้ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของ บมจ. ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) ออกบทวิเคราะห์ ประเมินราคาเป้าหมายสำหรับปี 66 ของ TEGH ที่ 6.90 บาท โดยใช้ค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลัง 3 ปี ของ STA และ NER ซึ่งเป็นธุรกิจใกล้เคียงกันที่ 9.1 เท่า
TEGH มีธุรกิจยางธรรมชาติ ธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบ และธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ ซึ่งมีประสบการณ์ในธุรกิจมากว่า 34 ปี มีจุดเด่นด้านคุณภาพและประสิทธิภาพในด้านการผลิตที่ดี เป็นที่ยอมรับของพันธมิตรทางธุรกิจซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำ โดยในปี 65 คาดกำไรเติบโตสูงจากราคายางและน้ำมันปาล์มดิบที่สูงต่อเนื่อง โดยกลุ่มบริษัทฯ มีแผนจะขยายกำลังการผลิตยางแท่ง ปรับปรุงประสิทธิภาพโรงงานผลิตนำมันปาล์ม รวมถึงขยายกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติ และไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติอย่างต่อเนื่องในระยะ 3 ปีข้างหน้า
TEGH เป็นผู้ผลิตยางธรรมชาติรายใหญ่ในภาคตะวันออก มีกำลังการผลิตยางแท่งเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ โดยลูกค้าหลัก คือ ผู้ผลิตยางล้อรถยนต์ชั้นนำระดับโลก และยังมีธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ ซึ่งมีลูกค้าเป็นผู้ผลิตน้ำมันพืชชั้นนำของไทย นอกจากนี้ยังมีธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ ซึ่งผลิตก๊าซชีวภาพและไฟฟ้าจากชีวภาพอีกด้วย โดยกลุ่มบริษัทฯ มีประสบการณ์ในธุรกิจกว่า 34 ปี มีจุดเด่นด้านคุณภาพและประสิทธิภาพในการผลิตที่ดี เป็นที่ยอมรับของพันธมิตรทางธุรกิจซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำ
บริษัทเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 324 ล้านหุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.0 บาท) คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 30% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทหลัง IPO แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 270 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญที่ขายโดยผู้ถือหุ้นเดิมไม่เกิน 54 ล้านหุ้น โดยเงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO ในครั้งนี้จะนำไปลงทุนขยายธุรกิจ ชำระคืนเงินกู้ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
บล.ทรีนิตี้ คาดกำไรปี 65 ของ TEGH เติบโตสูง โดยคาดกำไรปี 65 ที่ 734 ล้านบาท เติบโต 30%YoY จากราคายางที่คาดอยู่ในระดับสูง เนื่องจากคาดการผลิตรถยนต์โลกจะเพิ่มขึ้นหลังผ่านช่วง COVID-19 ขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบอาจได้อานิสงส์จากวิกฤติอาหารโลก ซึ่งทำให้บางประเทศผู้ผลิตจำกัดการส่งออก ในส่วนของกลุ่มบริษัทฯ คาดว่าจะมีปริมาณขายเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มกำลังการผลิตยางแท่ง และการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานน้ำมันปาล์มดิบ โดยกำไรงวด H1/65 อยู่ที่ 367 ล้านบาท เติบโต 42%YoY และคิดเป็นราว 50% ของประมาณการทั้งปี ขณะที่ในช่วงที่เหลือของปีคาดกำไรยังดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังที่จะได้ผลบวกจากปัจจัยฤดูกาล
ส่วนปี 66-67 กำไรอาจเติบโตชะลอลงจากเศรษฐกิจโลก คาดกำไรปี 66-67 ที่ 821 ล้านบาท และ 872 ล้านบาท เติบโต 12%YoY และ 6%YoY ตามลำดับ โดยราคายางและน้ำมันปาล์มดิบที่อยู่ในระดับสูงในปี 64-65 อาจชะลอตัวลงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของหลายประเทศเพื่อชะลอเงินเฟ้อ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการลดการผลิตและการบริโภคทั่วโลก อย่างไรก็ตามเราคาดว่ากลุ่มบริษัทฯ จะยังได้ผลบวกจากการขยายกำลังการผลิตและการปรับปรุงประสิทธิภาพภายใน
บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วก่อน IPO จำนวน 810 ล้านบาท และหลัง IPO จะมีทุนจดทะเบียน 1,080 ล้านบาท โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญจำนวน 324 ล้านหุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.0 บาท) คิดเป็นไม่เกิน 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วของบริษัทฯ หลัง IPO แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 270 ล้านหุ้น และ หุ้นสามัญที่เสนอขายโดย SK INTERTRADE PTE. LTD จำนวนไม่เกิน 54 ล้านหุ้น
โครงสร้างกลุ่มบริษัทฯ เป็น Holding Company ที่มีธุรกิจหลัก 3 ธุรกิจ ได้แก่
1.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ
2.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ
3.ธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์
โดยมีบริษัทย่อยจำนวน 9 บริษัท และกิจการร่วมค้า 3 บริษัท โดยมีโครงสร้างของกลุ่มบริษัทฯ