นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนเดือน ต.ค.65 คาดตลาดหุ้นไทยแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,550-1,650 จุด โดยในช่วงต้นเดือนอาจเผชิญอุปสรรคจากปัจจัยต่างประเทศเดิม นั่นคือการ Price in ของนักลงทุนต่อประเด็นการเข้มงวดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งปัจจุบัน ยังมีนักลงทุนที่เหลืออีก 40% ในตลาดที่ยังไม่ได้มีการ Price in การขึ้นดอกเบี้ย 0.75% สำหรับการประชุมครั้งถัดไป
ดังนั้น หากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่จะออกมาในเดือน ต.ค.บ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันถึงความร้อนแรงทางด้านเงินเฟ้อที่มาจากแรงผลักดันทางด้านอุปสงค์มีความเป็นไปได้สูงที่ในช่วงแรกเงินดอลลาร์ และ Bond yield สหรัฐฯจะปรับตัวขึ้นต่อ ซึ่งก็จะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อตัวแปรสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ ได้
ส่วนเหตุการณ์สำคัญที่น่าติดตามในเดือนนี้ ได้แก่ การประชุมของพรรคคอมมิวนิสต์ของจีนซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. โดยคาดว่าจะมีการต่ออายุการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ออกไปอีกเป็นสมัยที่ 3 และต้องจับตาดูว่าจะมีการผ่อนปรนมาตรการ Zero-Covid หรือไม่ ซึ่งหากไม่เกิดขึ้น อาจเป็น Sentiment เชิงลบต่อตลาดหุ้นจีนได้เช่นกัน
สำหรับปัจจัยภายในแนะนำจับตาการประกาศผลการพิจารณาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์ Turnover ratio สำหรับการคัดเลือกหุ้นเข้าสู่ดัชนี SET50/SET100 จากเดิมที่ระดับ 5% ลงมาเหลือ 2% หรือไม่ แต่ไม่ว่าจะปรับหรือไม่ปรับ ประเมินว่าตัวหุ้น DELTA มีโอกาสสูงมากแล้วที่จะถูกคัดเลือกเข้าสู่ดัชนี SET50/SET100 ในรอบถัดไป
นายณัฐชาต กล่าวว่า ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำใช้กรอบดัชนี SET ที่ 1,570-1,580 จุดเป็นแนวรับแรก ส่วนแนวรับสำคัญมองที่บริเวณ 1,540-1,550 จุด นักลงทุนที่ทยอยเพิ่มน้ำหนักมาก่อนหน้านี้ที่บริเวณ 1,600-1,610 จุด แนะนำถือครองหุ้นไว้ก่อนได้ โดยเฉพาะกลุ่ม Domestic cyclical ที่มองว่ายังคงปลอดภัยมากกว่ากลุ่ม Global cyclical มอง Sector ในกลุ่มดังกล่าวที่น่าสนใจอยู่ 5 Sector ได้แก่ BANK, FIN, INSURE, ICT, MEDIA โดยมี Top pick ได้แก่ KBANK, AEONTS, TIDLOR, TLI, ADVANC, DTAC, ONEE, PLANB ผนวกกับหุ้นอีก 2 ตัวที่มีลุ้นเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบถัดไปได้แก่ RATCH, COM7