โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) กสิกรไทย ซื้อ 57.00 หยวนต้า ซื้อ 65.00 เคจีไอ ซื้อ 65.00 ฟิลลิป ซื้อ 70.00 พาย ซื้อ 66.00
นายธันย์ จิระสิทธิกร นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า คาดกำไรไตรมาส 3/65 ของ SCGP จะอยู่ที่ 1.89 พันล้านบาท เติบโต 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และใกล้เคียงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากโดยปกติไตรมาสนี้จะเป็นช่วงของโลวซีซั่นธุรกิจจากเป็นช่วงฤดูฝน รวมถึงยังได้รับผลกระทบจากล็อกดาวน์ในประเทศจีน ทำให้ดีมานด์ในไตรมาส 3/65 ค่อนข้างอ่อนแอ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทมีการปรับราคาขายขึ้นต่อเนื่อง และต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวลดลง ส่งผลให้มาร์จิ้นน่าจะดีขึ้น
ทั้งนี้เมื่อเทียบกับกลุ่มบรรจุภัณฑ์ มองว่า SCGP จะดีกว่ากลุ่ม เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีการกระจายตัวของสินค้าได้ดีกว่า ทั้งในแง่ของลูกค้า และชนิดของสินค้าที่ไม่ได้โฟกัสแค่บรรจุภัณฑ์กระดาษ (Packaging Paper) เนื่องด้วยภาพปัจจุบันดูไม่ค่อยดีนัก แต่สินค้าปลายน้ำ เช่น กล่อง ดีมานด์ค่อนข้างจะทรงตัวมากกว่า ทำให้ผลกระทบต่อปริมาณการขายในไตรมาส 3/65 จะมีไม่มาก
ขณะที่คาดกำไรไตรมาส 4/65 จะฟื้นตัวดีขึ้น จากต้นทุนที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ทั้งค่าระวางเรือ วัตถุดิบ และราคาถ่านหิน อีกทั้งยังมี Sentiment บวกจากจีนประกาศยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ คงคำแนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 57 บาท
นักวิเคราะห์บล.หยวนต้า ระบในบทวิเคราะห์ว่า คาดกำไรปกติไตรมาส 3/65 ที่ราว 2,000 ล้านบาท ฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า และฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำในปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจาก ปริมาณขายที่ฟื้นตัวขึ้นตามระดับการบริโภคในภูมิภาคอาเซียนหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย รวมถึงมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น, การ Ramp-up กำลังผลิตใหม่และ GPM ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวหลังต้นทุนวัตถุดิบและการขนส่งเริ่มปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยค่าเฉลี่ย Spread ของ Packaging Paper ในเดือน ก.ค. - ส.ค. อยู่ที่ 265 เหรียญฯ เพิ่มขึ้นจาก 245 เหรียญฯ ในไตรมาส 2/65 และ 165 เหรียญฯ ในไตรมาส 3/64
ทั้งนี้คาดว่า Spread ของธุรกิจ Packaging Paper มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีเพราะราคาขายมีแนวโน้มทรงตัวแต่ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มลดลง (ต้นทุน การขนส่งลดลง, การจัดหาวัตถุดิบทำได้ง่ายขึ้น) ทำให้มีโอกาสที่ไตรมาส 4/65 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี และบริษัทฯ มีแผนชัดเจนในการลดการปล่อยคาร์บอน เป็นปัจจัยที่ช่วยให้บริษัทฯสามารถรักษากลุ่มลูกค้าเดิมและดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ได้มากขึ้น (ลดความเสี่ยงเกี่ยวกับภาษีคาร์บอนให้กับกลุ่มลูกค้า)
คงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 65 ที่ 65.00 บาท/หุ้น มี Upside +20.9% โดยราคา ปัจจุบันมี Downside ที่จำกัดแล้วเนื่องจากผลประกอบการกำลังอยู่ในรอบของการฟื้นตัวหลังราคา พลังงานมี Upside ที่จำกัด และได้รับผลกระทบจำกัดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงบริษัทฯ มีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องผ่านการทำ M8P เพื่อเพิ่ม Synergy และความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ทำให้การเติบโตของบริษัทฯ เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมั่นคง
นักวิเคราะห์บล.เคจีไอ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มองผลประกอบการในครึ่งปีหลังนี้จะฟื้นตัวขึ้น อย่างแข็งแกร่งทั้ง HoH และ YoY โดยเฉพาะในไตรมาส 4/65 คาดว่าต้นทุนวัตถุดิบ พลังงาน และค่าระวางขนส่งจะลดลงในไตรมาส 4/65โดยมีช่วงเหลื่อมเวลา (lag time) 2-3 เดือนจากราคาตลาด
นอกจากนี้ยังคาดว่าอุปสงค์จะเพิ่มขึ้น และปรับขึ้นราคาขายด้วย ทั้งนี้ spread ในตลาดของกระดาษบรรจุภัณฑ์เดือน ก.ค.-ส.ค.65 เพิ่มเป็น 265 เหรียญฯ/ตัน จาก 245 เหรียญฯ/ตัน ในไตรมาส 2/65 คาคว่ากำไรจากธุรกิจ หลักในไตรมาส 3/65 จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า และช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และราคาขายสินค้าที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตามบล.เคจีไอ จะทำการอัพเดตประมาณการกำไร อีกครั้งหลังจากร่วม con call วันที่ 11 ต.ค.65 โดยยังคงราคาเป้าหมาย DCF ปี 66 เอาไว้เท่าเดิมที่ 65 บาท มองว่าราคาหุ้นที่ร่วงลงมาเป็นเพราะภาวะตลาดอ่อนแอ ซึ่งถือเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ และมองราคาหุ้นมี downside จำกัดเพราะคาดว่า ต้นทุนจะลดลง ในขณะที่อุปสงค์ยังแข็งแกร่ง ดังนั้นจึงคิดว่า SCGP เป็นหุ้นที่เข้าได้กับทั้งธีม re-opening, consumer-linked และ anti-commodity