นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายธุรกิจโทรทัศน์ สำนักผู้บริหาร บมจ.บีอีซี เวิล์ด (BEC) เปิดเผยว่า งวด 6 เดือนแรกปีนี้ผลประกอบการยังทำได้ไม่ดี แต่บริษัทพยายามจะทำให้ดีขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง เพราะต้องยอมรับว่ามีปัญหาการผลิตละครหลายเรื่องไม่สามารถทำได้ตามเป้า ทั้งจากผลกระทบสถานการณ์โควิด ภาวะเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้
อย่างไรก็ดี รายการข่าวของช่อง 3 ก็ยังทำรายได้ค่าโฆษณาได้ดี ขณะที่ละครที่นำมารีรัน แม้จะช่วยลดต้นทุนแต่ไม่ได้เพิ่มรายได้
และในเดือน ก.ค.-ก.ย.ก็ยังรับผลกระทบจากเศรษฐกิจและสภาพฝนตก และน้ำท่วมในบางจังหวัด แต่ในไตรมาส 4/65 คาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้น จากละครใหม่เข้า 3-4 เรื่อง ขณะที่รายการข่าวก็ยังมีโมเมมตัมดีต่อเนื่อง อีกทั้งไตรมาส 4 จะมีการใช้งบโฆษณามาก ในช่วงไฮซีซั่น
นายสุรินทร์ กล่าวว่า ปัจจุบัน BEC มีรายได้จากทีวีเป็นหลัก 85% ที่เหลือมาจากธุรกิจดิจิทัล แพลตฟอร์ม และการขายลิขสิทธิ์คอนเท้นท์ไปต่างประเทศ (Global Content Licensing)
โดยรายได้ทีวี จะมาจาก ละคร 55% รายการข่าว 30% วาไรตี้ 15% ซึ่งปัจุบันไม่ห่วงรายการข่าว แต่ที่ต้องการให้เติบโตเป็นรายการบันเทิงและวาไรตี้ ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายในการเลือกร่วมทำงานกับใครที่จะสามารถทำรายการที่เอาชนะช่องอื่นได้ คาดว่าจะเห็นในปีหน้า โดย BEC ต้องการที่จะเป็น Total Entertainment Company
นายสุรินทร์ คาดว่า ในปี 66 รายได้จะเติบโตมากกว่า 10% ที่ยังมีรายได้จากทีวีเป็นรายได้หลัก นอกจากนี้ในปีหน้า BEC วางแผนเพิ่มธุรกิจใหม่ อาทิ ธุรกิจเพลง ซึ่งนำดาราของช่อง 3 มาปั้นเป็นศิลปินนักร้อง เน้นเพลงประกอบละคร BEC จะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ซึ่งปัจจุบันมี 2 รายแล้ว และปีหน้าจะเพิ่มอีก 2-3 ราย
ขณะเดียวกันก็จะเน้นการธุรกิจขายลิขสิทธิ์คอนเทนท์ให้กับต่างประเทศ เป็นการผลิตเพื่อออกอากาศทางช่อง 3 จากนั้นจะขาย Content ไปต่างประเทศ หรือบน Streaming Platform ยิ่งขายได้มากก็มีกำไรมากเพราะมีต้นทุนเพียงครั้งเดียว โดยปัจจุบัน BEC ขายลิขสิทธิ์ละครไปกว่า 20 ประเทศ ทั้งในอาเซียน เอเชีย สหรัฐ เป็นฐานที่ดีที่จะต่อยอดออกไป เช่น ทำ showcase
"ละครของช่อง3 จะมีความเป็นอินเตอร์มากขึ้น ปัจจุบันละครช่อง 3 นั้น ประเทศในเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น ก็ชื่นชอบ เชื่อว่าปีหน้าจะทำตลาดง่ายขึ้น"นายสุรินทร์ กล่าว
ดังนั้น ภายใน 5 ปีข้างหน้าสัดส่วนรายได้ของบริษัทจะปรับเปลี่ยนไป โดยลดสัดส่วนรายได้จากทีวีเหลือ 50% และอีก 50% จะมาจากดิจิทัล แพลตฟอร์ม , ละครหรือหนังที่สร้างโดย BEC Studio ที่จะจับมือกับพันธมิตรต่างประเทศ ซึ่งคาดปีหน้าละครเรื่องแรกออกปีหน้า , ธุรกิจเพลง, ธุรกิจภาพยนตร์ เป็นต้น
นอกจากนี้ นายสุรินทร์ กล่าวว่า บริษัทเตรียมปรับค่าโฆษณาในปีหน้า แต่จะทยอยปรับแต่ละรายการ โดยคาดจะเริ่มปรับขึ้นจากรายการข่าวที่มีเรทติ้งดี จึงค่อยมาปรับขึ้นช่วงออกอากาศละคร
นายสุรินทร์ กล่าวว่า จากการจัดทำการวัดเรทติ้งแบบใหม่ของ นีลสัน ประเทศไทย ร่วมกับสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล ซึ่งเป็นระบบการวัดเรทติ้งข้ามแพลตฟอร์ม (Cross-Platform Ratings) มองว่าช่อง 3 น่าจะได้ประโยชน์ เพราะผู้ชมในปัจจุบันก็ไม่ค่อยชมผ่านทีวี ยกตัวอย่างละครเรื่อง"คือเธอ" ที่ชมผ่านออนไลน์ ปรากฎว่ามีผู้ชม 1 ล้านราย โดยปัจจุบัน มีผู้ชมผ่านแอพพลิเคชั่น 3 พลัส ประมาณกว่า 10 ล้านคน ซึ่งลงทะเบียนเพียง 5 แสนคน และที่จ่ายค่าสมาชิกไม่ถึง 1 แสนคน
ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายของ ช่อง3 เป็นเพศหญิงอายุ 30-40+ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง