นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวในการสัมมนาออนไลน์ DBSV Quarterly Review Q4/22 หัวข้อ"ส่องโอกาสลงทุนใหม่ ฝ่าด่านดอกเบี้ยสูง เศรษฐกิจชะลอ" ว่า ดีบีเอส ฯ ให้เป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในปีนี้ไว้ที่ระดับ 1,680 จุด และเป้าหมายดัชนีปีหน้าที่ระดับ 1,750-1,800 จุด
ทั้งนี้ มองว่าภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไตรมาส 4/65 ได้รับปัจจัยบวกจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีเกินคาด โดยประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยปีนี้มีโอกาสทะลุ 10 ล้านคน รวมทั้งจะมีเม็ดเงินลงทุนบางส่วนไหลจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ ที่มีฐานะการคลังที่แข็งแรงและเศรษฐกิจฟื้นตัวดี ซึ่งไทยน่าจะเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการลงทุน ถ้าไม่มีปัญหาการเมืองรุนแรง
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนก็คือ ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯและยุโรปในช่วงครึ่งหลังปี 65 และปี 66 ที่มีความเสี่ยงชะลอตัว ไปจนถึงการถดถอย นอกจากยังได้รับผลกระทบจากราคาพลังงาน ธัญพืช และอาหาร ที่มีโอกาสพุ่งขึ้นรอบใหม่ จากปัจจัยฤดูหนาวและผลกระทบจากปัญหาสภาพภูมิอากาศแปรปรวน ส่งผลให้วิตกเงินเฟ้อสูงอีกรอบ ขณะเดียวกันดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างเร่งตัวในช่วงที่เศรษฐกิจเปราะบาง ทำให้มีความเสี่ยง NPL สูงขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะปรับตัวสูงสุด ในช่วงไตรมาส 3/65 ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานจะสูงสุดในไตรมาส 4/65
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทย นางสาวอาภาภรณ์ กล่าวว่า ภาคการส่งออกช่วง 8 เดือนของปี 65 เติบโต11 % ขณะที่ขาดดุลการค้าสูงถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เฉพาะเดือน ส.ค.65 ขาดดุล 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นผลมาจากการนำเข้าสินค้าพลังงานที่มีราคาสูง ซึ่งแม้ภาคการท่องเที่ยวของไทยจะฟื้นตัวแต่อาจไม่สามารถชดเชยการขาดดุลการค้าในปีนี้ ส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยไม่ทั่วถึง (เป็น K Curve)
สำหรับการเมืองไทย การชุมนุมประท้วงเริ่มกลับมาหลังโควิดคลี่คลาย แต่ถ้าไม่มีปะทะรุนแรง ก็จะกระทบไม่มาก และในอีกแง่หนึ่ง การลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งรอบใหม่ ทำให้เม็ดเงินสะพัดดีขึ้น ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเลือกและทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว ในจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว (เมื่อคาดการณ์ลมพายุไม่ได้อย่างแน่นอน ก็ต้องสร้างเรือที่แข็งแกร่งไว้รองรับ)
ด้านนายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึง ภาพรวมของอุตสาหกรรมและหลักทรัพย์ที่แข็งแกร่งสามารถฝ่าด่านดอกเบี้ยสูงในภาวะเศรษฐกิจชะลอได้ กลุ่มที่โดดเด่นคืออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ส่งสัญญาณการฟื้นตัว คาดว่าในปีนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้า 10-11 ล้านคน และปี 66 จำนวน 16 ล้านคน หุ้นที่ได้ผลบวกคือ CENTEL ราคาเป้าหมาย 55 บาท ธุรกิจโรงแรมและอาหารฟื้นตัวสดใส
ส่วนอุตสาหกรรมส่งออก เป็นแรงหนุนที่สำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย สินค้าส่งออกที่โตต่อเนื่อง คือ อาหาร,เกษตรอุตสาหกรรม,สินค้าอุตสาหกรรม โดยมีปัจจัยหนุน จากเงินบาทอ่อนค่า,ค่าขนส่งทางเรือลดลง หุ้นที่น่าสนใจคือ TU มองราคาเป้าหมายเหมาะสมที่ 22.60 บาท มีแนวโน้มกำไรจะดีกว่าคาดการณ์ไว้ รวมทั้งยังได้รับประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า ยอดขายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น มีการปรับประมาณการปีนี้เพิ่ม 17% และปี 66 เพิ่ม 3%
นายสมบัติ กล่าวถึงอุตสาหกรรมสื่อสารว่า จากกระแสการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) เป็นการโตทางลัดผสานเทคโนโลยีและประหยัดต้นทุน ส่วนกระแส "Digital Transformation" ก็ทำให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่มีโอกาสทางธุรกิจอีกมาก โดยหุ้น ADVANC โดดเด่นจากการได้ TTTBB และ JASIF ถือเป็นก้าวสำคัญ ในธุรกิจบรอดแบนด์หรือเน็ตบ้าน จะได้ลูกค้าเพิ่มอีกถึง 2.5 ล้านราย ในอนาคตสามารถระดมทุนผ่าน JASIF และยังได้แบรนด์ 3BB ที่แข็งแกร่งเพิ่ม รวมถึงได้ทีมขายและทีมติดตั้ง FBB มีความเชี่ยวชาญ และเข้าถึงโครงข่ายบอร์ดแบรนด์ที่ครอบคลุมมากขึ้น ราคาเป้าหมาย 250 บาท
ด้านอุตสาหกรรมการแพทย์ มีแนวโน้มดีจากคนไข้ต่างชาติเพิ่มขึ้น หลังโรคโควิดคลี่คลาย BDMS เป็นหุ้นเด่นได้ปัจจัยบวกจากคนไข้ต่างประเทศ ราคาเป้าหมาย 33 บาท
ส่วนอุตสาหกรรมนิคมอุตสาหกรรม ฟื้นตัวดีตามการเปิดเมืองช่วง 8 แรกของปีนี้ นักลงทุนหลักมาจาก ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, สหรัฐ และยังมีรายได้ค่าเช่า-บริการ และสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำอุตสาหกรรม และค่าไฟฟ้าช่วยลดความเสี่ยงธุรกิจ การลงทุนในโลกอนาคต นิคมฯจะมีบทบาทสำคัญ เช่น รถยนต์ EV, E-Commerce, Digital Platform, ROBOT ขณะที่รัฐบาลเร่งส่งเสริมการลงทุน เช่น เขต EEC จะกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว,มูลค่าที่ดินเพิ่ม และมองว่าหุ้น WHA โดดเด่น
อุตสาหกรรมขนส่ง กลับมาปกติ ส่งผลดีต่อธุรกิจสายการบิน สนามบิน รถไฟฟ้า รถยนต์เช่า ทางด่วน และมอเตอร์เวย์ ฟื้นตัว แต่เรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ เรือเทกอง เกี่ยวกับการส่งออก ค่าระวางเรือกลับอ่อนลง เพราะสู่ภาวะการค้าปกติ มีการเดินหน้าโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ ประมูลรถไฟทางคู่ รถไฟฟ้า รถไฟฟ้าไทย-จีน ก็จะมีผลดีในระยะยาว โครงการขนาดใหญ่จะเปิดให้บริการปีหน้า เช่น รถไฟฟ้าสายสีชมพู เหลือง และมีความคืบหน้าโครงการสนามบินต่างๆ แนะนำหุ้น BEM ราคาเป้าหมาย 10.40 บาท
อุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง คาดจะมีการประมูลงานขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น Backlog จะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หุ้นในกลุ่มแนะนำ CK ราคาเป้าหมาย 25 บาท
นายสมนึก จันทร์รัสมี ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่าทิศทางหลักของตลาดฯในไตรมาส 4/65 ยังคงผันผวน และอ่อนตัวลงเป็นหลัก (หากจะมีการปรับขึ้น ก็อาจมีได้ แต่จะเป็นไปในลักษณะของการรีบาวด์ฯทางเทคนิคเท่านั้น จากนั้นก็จะเป็นการอ่อนตัวลงต่อ) โดยคาดการณ์ว่าดัชนีน่าจะมีการปรับลงเพื่อทดสอบแนวรับ(ย่อย) ที่ระดับ 1,520-1,500 หรือ 1,450 (1,400) จุด แล้วจึงจะเปลี่ยนทิศทาง (หรือรีบาวด์ฯ)อีกครั้งตามมา
นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนี SET50 จะมีการรีบาวด์ โดยระวังแนวต้าน 963/973-970/980 หากยังไม่ผ่านระวังการลงรอบใหม่ การลงหลุด 930 จะเป็นสัญญาณลงต่อมีแนวรับถัดไป 900/875
ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 2 ปี พีคช่วงเข้าใกล้ DotPlot เฟดที่ 4.4%-4.6% ตลาดรับรู้เรื่องการขึ้นดอกเบี้ยไประดับหนึ่ง Yield ลง หุ้นเด้งสั้นได้เป็นระยะๆ แต่ตลาดหุ้นที่จะเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ นโยบายการเงินจะใช้เวลามากกว่า 6 เดือนจึงจะเห็นผลกระทบ การลงทุนในหุ้นระยะกลางยังต้องระมัดระวัง
ทิศทางทองคำ มีแนวโน้มกลับมาทะลุ 1,680/1,700 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ แนวต้านที่แข็งแกร่งได้ มีแรงส่งต่อ แต่ช่วงสั้นก็จะมีแนวต้านที่ 1,735/1,750 และ 1,800 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ที่ทำให้ชะลอตัวลง หากยังเป็นบวกต้องไม่กลับไปหลุดต่ำกว่า 1,680 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ อีกมิฉะนั้นมีโอกาสทำจุดต่ำสุดใหม่ ขณะที่ค่าเงินบาท หากการพักฐานต้องไม่หลุด 37+/-0.2 จึงจะขึ้นใหม่ และแนวต้านถัดไป 39.5/40 หากหลุดต่ำกว่าเปลี่ยนแนวโน้มเป็นแข็งค่า