บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) เร่งแก้ไขผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันรั่ว โดยจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ได้รับผลกระทบไปแล้วมากกว่า 10,600 ราย รวมเป็นเงินกว่า 305 ล้านบาท พร้อมร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ และผู้เชี่ยวชาญไทยและต่างชาติ ศึกษาติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ประสานชุมชนยกระดับสิ่งแวดล้อม พัฒนาอาชีพ สร้างความยั่งยืน ในระยะยาว
นายพงษ์กรณ์ ช่อชูวงศ์ ผู้จัดการฝ่ายบริหารระบบความปลอดภัย คุณภาพสิ่งแวดล้อมและอาชีว อนามัย SPRC กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์น่ำมันรั่วจากท่อในทะเล จ.ระยอง บริษัทได้ติดตามผลกระทบต่อระบบนิเวศน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น รวมทั้งบูรณาการแผนฟื้นฟูร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้จัดทำแผนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็น 3 ระยะ คือ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
โดยในระยะสั้นเริ่มตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค.-6 เม.ย.65 ซึ่งได้ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพอากาศ น้ำทะเล และตะกอนดิน สำหรับระยะกลางจะใช้เวลา 1-2 ปี โดยจะศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อเนื่องทั้งด้านสมุทรศาสตร์, สารมลพิษ, ระบบนิเวศปะการัง, ระบบนิเวศหญ้าทะเล, ระบบนิเวศหาดหินหาดทราย, สัตว์ทะเลหายาก, ประเมินผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการวางแผนฟื้นฟู และระยะยาวจะศึกษาและฟื้นฟูระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมตามที่เกิดผลกระทบในด้านนั้น ๆ ต่อไป
บริษัทได้ทำการลงพื้นที่เพื่อศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระยะแรก ตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค.-6 เม.ย.65 พบว่าคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน คุณภาพน้ำทะเล มีค่าโลหะหนักและปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนเกินเกณฑ์มาตรฐานในช่วงแรก และลดลงจนกลับเข้าสู่ภาวะปกติอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามลำดับ ส่วนคุณภาพตะกอนดินมีค่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
ส่วนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระยะกลาง บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับคณะทำงานพิจารณาการจัด ทำแผนฟื้นฟู ติดตามตรวจสอบสภาพแวดล้อม และประเมินผลการปฏิบัติงานป้องกันและขจัดมลพิษน้ำมัน กรณีน้ำมันดิบรั่วไหลจากท่อส่งน้ำมันของทุ่นรับน้ำมันกลางทะเลของบริษัท ประกอบด้วยกรมเจ้าท่า กรมควบคุมมลพิษ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมประมง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จังหวัดระยอง และคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศในการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยบูรพา รวมถึงมีผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลจากประเทศออสเตรเลียร่วมทบทวนโครงการและให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม ซึ่งแผนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมจะครอบคลุมผลกระทบด้านต่าง ๆ ตามแนวทางของกรมควบคุมมลพิษ โดยพิจารณาพื้นที่ที่น้ำมันเคลื่อนตัวเข้าสู่ชายหาดและขอบเขตพื้นที่ศึกษา กำหนดระยะเวลาศึกษา 2 ปี ระหว่างเดือนเม.ย.65-เม.ย.67 ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 48 ล้านบาท
การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระยะกลางประกอบด้วย 11 โครงการ ได้แก่
1. การศึกษาการเปลี่ยนแปลงของปริมาณสารประกอบไฮโดรคาร์บอนในน้ำ ดินตะกอน และสัตว์น้ำ
2. การศึกษาสาหร่ายเซลล์เดียวและสัตว์ทะเลหน้าดินขนาดเล็กจากพื้นทะเลบริเวณชายฝั่ง
3. การศึกษาชนิดและการเปลี่ยนแปลงของสัตว์หน้าดินขนาดใหญ่
4. การศึกษาผลกระทบของการรั่วไหลของน้ำมันต่อสุขภาพของสิ่งมีชีวิตกลุ่มหอยสองฝา บริเวณชาย ฝั่งจังหวัดระยอง
5. การศึกษาผลกระทบของน้ำมันรั่วไหลต่อระบบนิเวศหญ้าทะเลบริเวณหาดแม่รำพึงและอ่าวบ้านเพ
6. การศึกษาผลกระทบของการรั่วไหลของน้ำมันต่อระบบนิเวศแนวปะการังบริเวณชายฝั่งจังหวัดระยอง
7. การการศึกษาชนิดและปริมาณทรัพยากรจากการประมงชายฝั่งบริเวณพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
8. การทดสอบความเป็นพิษของน้ำมันในสิ่งมีชีวิตในทะเล
9. การศึกษาผลกระทบต่อการปนเปื้อนของโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนและโลหะหนัก ในน้ำทะเล ดินตะกอน และสิ่งชีวิต และการถ่ายทอดผ่านห่วงโซ่อาหาร
10. การศึกษาตรวจสอบผลกระทบต่อประชาคมสิ่งมีชีวิตในมวลน้ำและพื้นท้องทะเลในบริเวณชายฝั่ง จังหวัดระยอง และ
11. การศึกษาผลกระทบต่อแนวปะการังและแหล่งหญ้าทะเลโดยใช้เทคนิคขั้นสูงในการตรวจศึกษาการสืบพันธุ์ จุลชีพและการแสดงออกของยีน
ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุน้ำมันรั่วไหลในอนาคต บริษัทฯ ได้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญค้นหาสาเหตุที่เกิดขึ้นและแนวทางการป้องกันในอนาคต ในส่วนของแผนงานฟื้นฟูด้านสังคมและเศรษฐกิจ บริษัทฯ ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน และกลุ่มผู้ประกอบการในพื้นที่มุ่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและยกระดับรายได้ให้แก่คนในชุมชน โดยการพัฒนาเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าประมง จัดกิจกรรมฟื้นฟูเรียกความเชื่อมั่นกับนักท่องเที่ยว การปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเศรษฐกิจและสัตว์หายาก การสร้างแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำเพื่ออนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ รวมถึงการสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชนในท้องถิ่นเพื่อปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ร่วมกันจัดเก็บขยะและทำความสะอาดชายหาด เพื่อคืนสภาพสิ่งแวดล้อมที่สะอาดและสวยงามของประเทศไทยให้คงอยู่ตลอดไป