นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า ภาพรวมการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว (หุ้นกู้) ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 1.3 ล้านล้านบาท หรือทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยในช่วงไตรมาส 4/65 คาดว่าจะมีปริมาณการออกหุ้นกู้เพิ่มเติมอีกไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท เพื่อทดแทนรุ่นที่จะครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ได้ยื่นขอเสนอขายแล้ว ประกอบกับหุ้นกู้ที่อาจเสนอขายเพิ่มเติมเพื่อบริหารโครงสร้างทางการเงินและต้นทุน
การออกหุ้นกู้ในช่วง 9 เดือนแรกนี้มีมูลค่า 997,085 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หรือคิดเป็น 96% ของมูลค่าการออกในปีที่แล้วทั้งปี
นอกจากนี้ การเสนอขายหุ้นกู้ต่อนักลงทุนทั่วไป (PO) ในรูปแบบของหุ้นกู้ดิจิทัลเริ่มมีสัดส่วนมากขึ้น โดยใน 9 เดือนแรกปีนี้ มีหุ้นกู้ดิจิทัลเสนอขายรวมกัน 9 รุ่น รวมกับที่เสนอขายครั้งแรกไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ทำให้จนถึงปัจจุบัน มีหุ้นกู้ดิจิทัลเสนอขายบนแอปพลิเคชั่น"เป่าตัง" ทั้งหมด 10 รุ่น มูลค่ารวม 31,095 ล้านบาท ถือเป็นช่องทางการเสนอขายใหม่ที่เพิ่มโอกาสในการลงทุนตราสารหนี้ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป
สำหรับการออกหุ้นกู้ใหม่ๆ ของบริษัทขนาดใหญ่และบริษัทที่มีชื่อเสียง ยังได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน แต่อย่างไรต้องยอมรับว่าในบริษัทที่มีขนาดเล็กลงมา และบริษัทที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนักได้รับผลกระทบทำให้ขายไม่หมดบ้าง เนื่องจากผลกระทบจากดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น และความเสี่ยงของเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ด้านนโยบายอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เชื่อว่าจะคำนึงถึงมุมมองด้านเศรษฐกิจและดอกเบี้ยอย่างความรอบคอบ
"จากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และนักลงทุนหยุดคิดนิดนึงเพื่อที่จะรอดูสถานการณ์มอง มองว่าเป็นสัญญาณที่ดีต่อตลาดการลงทุน ยินดีที่นักลงทุนเพิ่มขึ้นและเข้ามาด้วยความรู้รอเพื่อที่จะตัดสินใจลงทุนอย่างเหมาะสม พัฒนาการที่มีสุขภาพดี โดยพิจารณาการลงทุนด้วยคำนึงถึงผลตอบแทน"นางสาวอริยา กล่าว
สำหรับแนวโน้มการผิดนัดชำระหนี้ของภาคเอกชนไม่ได้มีมากนัก เนื่องจากผู้ประกอบการของไทยส่วนใหญ่จะมีการพูดคุยกับเจ้าหนี้และปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับผู้ประกอบการในช่วงของกระแสเงินสดไม่เหมือนเดิม โดยหลังจากที่สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติแล้วส่วนใหญ่บริษัทก็จะกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติทำให้ไม่เกิดการผิดนัดชำระหนี้ แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันบริษัทขนาดใหญ่ยังไม่ได้มีปัญหา และภาพเศรษฐกิจยังเติบโตขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
ด้านนายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ ThaiBMA กล่าวว่า ตลาดตราสารหนี้ไทยเติบโตต่อเนื่องแม้จะถูกกดดันจากการขยับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล โดยมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย ณ สิ้นไตรมาส 3/65 ขยายตัว 4.5% จากสิ้นปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 15.67 ล้านล้านบาท เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลและภาคเอกชนแม้ว่าตราสารหนี้ที่ออกโดย ธปท.จะมีมูลค่าลดลงก็ตาม
ทั้งนี้ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Government bond yield curve) ปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 3/65 จากการที่เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ กนง. มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยจึงขยับตัวสูงขึ้นต่อทำให้ Bond yield ไทยรุ่นอายุ 2 ปี และ10 ปี ปรับตัวสูงขึ้น123 bps. และ 132 bps.จากสิ้นปีที่แล้วมาอยู่ที่ 1.88% และ 3.21% ณ สิ้นเดือน ก.ย. ตามลำดับ
เส้นอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate bond yield curve) อายุ 5 ปีของหุ้นกู้ทุกอันดับเครดิตปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 3 จากการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและส่วนชดเชยความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit spread) ส่งผลให้การออกหุ้นกู้มีต้นทุนที่สูงขึ้นโดยเฉลี่ย 32 pbs. จากเมื่อสิ้นไตรมาส 2 โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 65 หุ้นกู้อายุ 5 ปี อันดับเครดิต AAA มีต้นทุนดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ 3.35% AA ที่ 3.68% A ที่ 3.89% BBB+ที่ 5.03% และ BBB ที่ 5.98%
ด้านกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund flow) ในเดือน ก.ค.65 นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิตราสารหนี้ไทยต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ภายหลังจากที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอัตรา 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะกลับเข้าซื้อสุทธิเล็กน้อยในเดือนส.ค. แต่เมื่อเริ่มมีความชัดเจนในเดือน ก.ย. ว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่สูงอย่างต่อเนื่อง จึงมีการขายตราสารหนี้ไทยตั้งแต่กลางเดือน ก.ย. ทำให้ในไตรมาส 3 เป็นการขายสุทธิตราสารหนี้ไทยของนักลงทุนต่างชาติ
โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/65 นักลงทุนต่างชาติมียอดการขายสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปีที่ 3.25 หมื่นล้านบาท มียอดการถือครองตราสารหนี้ไทยเท่ากับ 9.89 แสนล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากสิ้นปีที่แล้ว คิดเป็นสัดส่วน 6.3% ของมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย โดยอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติอยู่ที่ 8.5 ปี