นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM) เปิดเผยว่า SCBAM เปิดเสนอขาย "กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นยูเอสสมอลแคปพาสซีฟ" (SCBRS2000) ที่มีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีRussell 2000 ซึ่งประกอบด้วยหุ้นขนาดเล็กในสหรัฐฯ กว่า 2,000 บริษัท ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม และยังมีมูลค่าพื้นฐานที่น่าสนใจเข้าลงทุน โดยจะเริ่มเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 12-19 ต.ค.65 นี้
กองทุน SCBRS2000 เน้นลงทุนในกองทุนหลัก คือ iShares Russell 2000 ETF เป็นกองทุน ETF ที่บริหารโดย BlackRock Fund Advisors มีนโยบายลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดเล็กที่เป็นตัวแทนของหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี Russell 2000 มีการกระจายสัดส่วนการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยกองทุน SCBRS2000 มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน USD/THB ไม่น้อยกว่า 90% และมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับดัชนี Russell 2000
การเสนอขายกองทุนครั้งนี้ SCBAM แบ่งชนิดการลงทุนเป็น 2 ประเภท คือ (1) กองทุนชนิดสะสมมูลค่า หรือ SCBRS2000(A) และ (2) กองทุนชนิดเพื่อการออม หรือ SCBRS2000(SSF) เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี
นางนันท์มนัส กล่าวว่า หรัฐฯ ยังเป็นประเทศที่ได้รับความสนใจของนักลงทุน แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่ในระยะยาวเชื่อมั่นว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะขยายตัวได้ดี และคาดว่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวในปี 67 จากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีโอกาสกลับมาผ่อนคลายนโยบายการเงิน และปล่อยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เต็มศักยภาพ หลังจากที่คลายความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อและปัญหาห่วงโซ่อุปทานคลี่คลาย ซึ่งจะส่งผลดีต่อหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทสหรัฐฯขนาดเล็ก จึงมองว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีในการช่วยสร้างผลตอบแทนและกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุน
ทั้งนี้ จากข้อมูลทางสถิติ พบว่า ดัชนี Russell 2000 มีผลการดำเนินงานย้อนหลังที่โดดเด่นกว่าดัชนีหุ้นสหรัฐฯ โดยรวม และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีสัญญาณเชิงบวกที่สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งด้านตลาดแรงงานและการใช้จ่ายของผู้บริโภค จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 5 เดือนและตัวเลขอัตราการการว่างงานปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 29 เดือน จึงมองเป็นจังหวะเข้าลงทุนเพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะกลาง-ยาว จากเศรษฐกิจสหรัฐฯยังมีความแข็งแรงอยู่มาก อีกทั้งเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุนควบคู่ไปกับการลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่น เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นในระยะยาวได้