นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ LEO Self Storage ให้เพิ่มเป็น 5% ของรายได้รวมและมีการขยายสาขาครบ 10 แห่ง ภายในระยะเวลา 5 ปี (66-70) หรือมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท โดยบริษัทจะมีการขยายสาขาอย่างน้อย 2 สาขาต่อปี โดยการขยายสาขาจะเน้นในพื้นที่กรุงเทพฯเป็นหลัก ตวามความต้องการของผู้บริโภคที่มีอยู่ค่อนข้างมาก พร้อมทั้งมีความสนใจขยายสาขาไปยังต่างประเทศในอนาคตด้วย ล่าสุด วันนี้ 19 ต.ค. 65 บริษัทได้เปิดตัว"LEO Self Storage #2 Chinatown" หรือสาขาไชน่าทาวน์ ถนนเจริญกรุง ซอย 31 ขนาดพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร(ตร.ม.) มูลค่าการลงทุน 40 ล้านบาท ด้วยบริการห้องเก็บของขนาดพื้นที่บริการ 1-30 ตารางเมตร ภายใต้คอนเซ็ป "LIFESTYLE STORAGE" แห่งแรกในเมืองไทย เน้นเจาะกลุ่มคนเมือง, นักสะสม, SMEs และธุรกิจขายของออนไลน์ที่ไม่มีหน้าร้าน ดังนั้น บริษัทจึงมีการให้บริการ LEO Self Storage แล้ว 2 แห่งพร้อมบริการตลอด 24 ชั่วโมง ได้แก่ สาขาพระราม 3 ซอย 31 ปัจจุบันมีอัตราการเช่า(Occupancy Rate ) 90% และไชน่าทาวน์ ปัจจุบันมีอัตราการเช่า 25% และคาดว่าภายในสิ้นปีอัตราการเช่าจะเกินเป้าหมายที่วางไว้ 30% บริษัทมีแผนที่จะเปิดให้บริการ LEO Self Storage สาขา 3 ที่โครงการเสนาเฟสท์ (SENA fest) มูลค่าการลงทุน 20 ล้านบาท และสาขา 4 ที่ถนนพระราม 4 มูลค่าการลงทุน 60-70 ล้านบาท พื้นที่รวมกว่า 4,000 ตารางเมตร โดย 1 ในสาขานั้นคือการลงทุนร่วมกับบริษัท เอสเค แอสเส็ท แมนเนจเม้นท์ จำกัด ที่เป็นบริษัทในเครือของ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) "อนาคตธุรกิจ Self Storage จะเป็นส่วนหนึ่งที่เข้ามาสนับสนุนความสามารถในการทำกำไรของบริษัท เพราะมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า 50% ซึ่งจะเริ่มเห็นสัดส่วนของรายได้ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นใน 3-5 ปีข้างหน้า"นายเกตติวิทย์ กล่าว สำหรับทิศทางผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง 65 ยังคงมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารายได้จากการดำเนินธุรกิจจะได้รับแรงกดดันจากค่าระวางที่เคยปรับตัวขึ้นไปสูงสุด 10 เท่า แต่ปัจจุบันปรับตัวลดลงมามากกว่า 70% มากกว่าที่เคยประเมินว่าค่าระวางจะลดลง 50% แต่เนื่องจากปลายปีเป็นช่วงไฮซีซั่นของการขนส่งสินค้า และในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ฐานลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่มกว่า 300-400 ราย รวมไปถึงค่าเงินบาทที่อ่อนลงมาอย่างต่อเนื่องทำให้ได้ประโยชน์จากการดำเนินธุรกิจภายใต้สกุลเงินเหรียญสหรัฐ จึงสามารถเข้ามาชดเชยค่าขนส่งสินค้าที่ปรับตัวลดลงไปได้ "ในช่วงไตรมาส 3/65 ผลประกอบการยังออกมาในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นช่วงที่มีผลประกอบการดีที่สุดของปี ในขณะเดียวกันเรายังมีแรงหนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ซึ่งเรารับเงินจากลูกค้าเป็นสกุลเงินดอลลาร์ นอกจากนี้เรายังมีลูกค้าเข้ามาเพิ่มในปี 64 กว่า 300-400 ราย ยังคงใช้บริการของเราอย่างต่อเนื่อง เราจึงมั่นใจว่ารายได้ทั้งปีจะเติบโตตามเป้าหมายที่ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท"นายเกตติวิทย์ กล่าว
นายเกติวิทย์ ยังเปิดเผยว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อที่จะเข้าซื้อกิจการ (M&A) และ ร่วมลงทุน (JV) รวมทั้งหมด 4 ราย โดยบริษัทคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงที่เหลือของปีนี้ 2-3 ดีล คาดว่าจะอยู่ในช่วงต้นเดือน พ.ย. ราว 1-2 ดีล และ เดือน ธ.ค. ราว 1-2 ดีล ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการทำแผนการดำเนินงานปี 66 คาดว่าจะสามารถประกาศแผนได้ในเดือน ธ.ค. เบื้องต้นคาดว่ารายได้จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเสริมการเติบโต อาทิ การขนส่งทางรางระหว่างไทย-สปป.ลาว-จีน ที่อยู่ระหว่างเตรียมการเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้ และจะมีการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆเพิ่มเติมเพื่อเข้ามาเสริมการเติบโตของกิจการ สำหรับเงินลงทุน รวมถึงการเข้าทำดีล M&A และ JV บริษัทยืนยันว่ามีเพียงพอ เนื่องจากปัจจุบันมีเงินจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ที่เหลืออยู่ , การออกหุ้นกู้ และกำไรสะสม รวมประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งไม่นับรวมเงินจากการกู้สถาบันทางการเงิน ถือว่ามีฐานทุนที่เพียงพอต่อการขยายธุรกิจ