นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมสายงานวาณิชธนกิจด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม (KLINIQ) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้าจะแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายเพื่อที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 60,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท/หุ้น ให้แก่ประชาชน (Initial Public Offering) หรือคิดเป็น 27.27% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในเดือน พ.ย. นี้ ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ "การโรดโชว์ในครั้งนี้ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างคึกคัก ในฐานะผู้นำธุรกิจด้านการแพทย์ความงามครบวงจร อีกทั้งธุรกิจด้านสุขภาพและความงามเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ ที่มีโอกาสเติบโตสูง รวมถึงประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการแพทย์และความงาม ทำให้เห็นโอกาสการเติบโตของ KLINIQ อย่างชัดเจน"นายรัฐชัย กล่าว ด้านนายอภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KLINIQ เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้ให้บริการตรวจรักษาด้านผิวหนัง ความงาม รักษาผิวพรรณ และดูแลเรือนร่าง รวมถึงการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับการให้บริการ ถือเป็นผู้นำธุรกิจด้านความงามครบวงจร ภายใต้แบรนด์ "เดอะคลีนิกค์" (THE KLINIQUE) ดังนี้ 1. แผนกผิวหนังและความงาม 2. แผนกศัลยกรรมตกแต่ง 3. แผนกป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพ และ4.การจำหน่ายยา และเวชภัณฑ์ ซึ่ง ณ วันที่ 30 มิ.ย. 65 มีสาขาให้บริการรวม 39 สาขาทั่วประเทศ แบ่งเป็น คลินิกเวชกรรม 35 สาขา ศูนย์ศัลยกรรม 1 สาขา และร้านทำเล็บ 3 สาขา มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักทั้งผู้หญิง และผู้ชาย ซึ่งปัจจุบันมีฐานลูกค้าในมากกว่า 200,000 ราย
ทั้งนี้บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปใช้ในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยจะใช้ในการซื้อเครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ แบ่งเป็น เงินลงทุนคลินิกเวชกรรม ประมาณ 17-25 ล้านบาทต่อสาขา ระยะเวลาคืนทุน 2-3 ปี และเงินลงทุนศูนย์ศัลยกรรม ประมาณ 50-100 ล้านบาท ระยะเวลาคืนทุน 3-4 ปี โดยในระยะเวลา 3-5 ปี ต่อจากนี้บริษัทตั้งเป้าหมายขยายสาขาใหม่ไม่ต่ำกว่า 6-10 สาขาต่อปี ให้ครอบคลุมพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ
ส่วนที่เหลือจะใช้ในการลงทุนและพัฒนาด้านเทคโนโลยี และดิจิทัล ซึ่งจะใช้งบลงทุน 15-20 ล้านบาท และกำหนดเริ่มการลงทุนในข่วงกลางปี 66
สำหรับทิศทางผลประกอบการของบริษัทยังมีโอกาสในการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่ากำลังซื้อของประชาชนจะปรับตัวลดลง จากภาวะเศรษฐกิจที่ชอละตัวลดลง แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มลูกค้าของบริษัทอยู่ในระดับบนซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น และภาพรวมในปัจจุบันคนเริ่มให้ความใส่ใจกับสุขภาพผิว ดูแลให้ดูมีอายุน้อยรักษาโรคแก่มากยิ่งขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกปี 65 บริษัทรายได้รวมแล้ว 714.72 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 100.22 ล้านบาท ถือเป็นการเติบโตได้ในสูงเป็นประวัติการณ์ (นิวไฮ)
ในส่วนของผลการดำเนินงานย้อนหลังปี 62-64 บริษัทมีรายได้ 975.84 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 115.47 ล้านบาท ในปี 62 รายได้รวม 1,000.55 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 144.60 ล้านบาท ในปี 63 ส่วนปี 64 บริษัทมีรายได้รวม 949.93 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 129.25 ล้านบาท