นายกิตติ สัมฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น (PCC) เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ปี 65 จะไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท โดยทิศทางผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะสามารถเติบโตได้มากกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่มีรายได้ 1,727 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิ 134 ล้านบาท เนื่องบริษัทสามารถรับรู้รายได้หลักจากงานภาครัฐเป็นสัดส่วนรายได้ 50-60% ซึ่งเป็นการรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังเป็นส่วนใหญ่
โดยบริษัทจะมีการเติบโตได้จากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ 1.กลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ในระบบจำหน่ายไฟฟ้างานบริหารโครงการ 2.กลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูงและสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 3.กลุ่มธุรกิจลงทุนผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และผลิตเชื้อเพลิงจากพืชพลังงาน
นอกจากนี้บริษัทยังมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 2/65 รวมกว่า 2,400 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาท ในขณะเดียวกันยังจะมีแผนการเข้าประมูลงานใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทจะมีการเติบโตตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) จากการลงทุนระยะยาวของ 3 การไฟฟ้า คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.), การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ที่มีแผนการลงทุนเกือบ 2 แสนล้านบาทเฉพาะในส่วนของ Smart Grid ในรอบระยะเวลา 10-17 ปี
"เรายังมีแผนการเข้าประมูลงานใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเข้ามาสนับสนุนการเติบโตของเรา ซึ่งเรามีจุดเด่นในด้านเทคโนโลยี Smart Grid แต่อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์การแข่งขันในโครงการต่างๆปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น บริษัทก็จะเข้ามาเน้นการจำหน่ายอุปณ์กรต่างๆให้แก่โครงการต่างๆทดแทน ซึ่งเรามั่นใจว่าผลประกอบการจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และ ภาพรวมทั้งปีนี้ผลประกอบการจะกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับก่อนโควิด-19 แล้ว"นายกิตติ กล่าว