บมจ.บริทาเนีย (BRI) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด คือ
ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 4.00 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ และชำระดอกเบี้ยงวดสุดท้ายในวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้
ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2568 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 4.70 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ และชาระดอกเบี้ยงวดสุดท้ายในวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้
บริษัทจะเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวต่อผู้ลงทุนทั่วไป และ/หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน ระยะเวลาเสนอขาย วันที่ 17-18 และ 21 พ.ย.65 ผ่าน ผู้จัดการการจัดจำหน่าย ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารกรุงไทย และ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)
นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BRI กล่าวว่า บริษัทและหุ้นกู้ของบริษัทได้รับการจัดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือที่ระดับ "BBB" แนวโน้ม "คงที่" เมื่อวันที่ 16 ก.ย.65 จากบริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นระดับ Investment Grade สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่งของบริษัท วัตถุประสงค์การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้คือเพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุนให้แก่บริษัทฯ โดยบริษัทได้วางแผนจะนำเงินไปใช้ในการขยายธุรกิจสำหรับซื้อที่ดินเพื่อรองรับพัฒนาโครงการใหม่ เป็นเงินทุนหมุนเวียน และชำระเงินกู้ยืมคืนให้กับบริษัทใหญ่
บริษัทมีจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบในประเทศไทย และเป็นบริษัทเรือธงในการพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทดังกล่าวของ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรรายใหญ่ของประเทศ ซึ่งการออกและเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรก โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
BRI ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบในประเทศไทย ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ ไบรตัน (Brighton), บริทาเนีย (Britania), แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) และเบลกราเวีย (Belgravia) การดำเนินธุรกิจในปีนี้อยู่ภายใต้แผนยุทธศาตร์ Growth Together มุ่งสร้างการเติบโตไปด้วยกันทุกภาคส่วน และมุ่งเน้นพัฒนาโครงการทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด เน้นทำเลศักยภาพที่มีเศรษฐกิจเติบโตและการขยายตัวของนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านที่อยู่อาศัยและการฟื้นตัวของภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ภาพรวมผลการดำเนินงานล่าสุด บริษัทมียอดรับรู้รายได้รวมช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 3,135 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 729 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 153% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมียอดขาย (พรีเซล) 9 เดือนแรกรวม 7,840 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 71% ของยอดขาย 11,000 ล้านบาท ที่ตั้งเป้าหมายในปีนี้