นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนปี 66 ไว้ที่ระดับ 20,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายกำลังผลิต รวมถึงการควบรวมกิจการและร่วมมือกับพันธมิตร (Merger and Partnership : M&P) ทั้งดีลใหม่และดีลบางส่วนที่อาจเลื่อนไปจากปีนี้ โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรในธุรกิจที่จะเข้ามาต่อยอดกับธุรกิจเดิม 1 ราย
ขณะที่บริษัทยังมีแผนเลื่อนดำเนินการผลิตของฐานการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ในเวียดนามเหนือ ไปเป็นปี 68 จากเดิมปี 67 เพื่อรองรับกับความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์กระดาษทั้งในเวียดนามเหนือและจีนตอนใต้ เนื่องจากเศรษฐีกิจจีนฟื้นตัวช้า ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากนโยบาย Zero Covid
สำหรับปี 65 บริษัทคาดว่าใช้งบลงทุนทั้งสิ้นราว 16,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 20,000 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกของปีนี้บริษัทใช้งบลงทุนไปแล้ว 11,920 ล้านบาท ส่วนวงเงินที่เหลืออีกราว 4,000 ล้านบาทคาดว่าจะใช้ในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่ารายได้ปี 65 จะเติบโตแตะ 150,000 ล้านบาทตามเป้าหมาย หลังจาก 9 เดือนมีรายได้แล้ว 112,559 ล้านบาท และคาดว่าอีก 3 เดือนที่เหลือของปีนี้หรือในไตรมาส 4/65 จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการบริโภคภายในประเทศ การเดินทางระหว่างประเทศ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาได้ดี ทำให้ความต้องการสินค้าที่จำเป็นสำหรับการบริโภค เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงสินค้าอุปโภคอื่น ๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเทศกาลต่าง ๆ ในช่วงสิ้นปี ซึ่งบรรจุภัณฑ์ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะตอบสนองความต้องการซื้อสินค้าในกลุ่มดังกล่าว
ขณะที่การส่งออกในตลาดอาเซียน ยังคงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้ความต้องการสินค้าคงทนลดลง รวมถึงเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวช้า ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน แต่บริษัทก็ได้ปรับกลยุทธ์ด้วยการขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ เช่น อินเดีย, บังคลาเทศ เป็นต้น
ส่วนปัจจัยด้านราคาพลังงานทั่วโลกขณะนี้ถือว่ายังทรงตัว รวมถึงค่าขนส่งและต้นทุนวัตถุดิบ โดยเฉพาะวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (Recovered Paper : RCP) ปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 65 ทำให้บริษัทเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยหนุนต่อธุรกิจบรรจุภัณฑ์